Diary II
-This is Halloween Diary-
======================================
วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี...
ก็อย่างที่รู้ๆ กันดีว่ามันคือวันฮาโลวีน...
ฉันไม่รู้ว่าซอมบี้ถือเป็นผีด้วยไหม?
จริงๆ แล้วตัวฉันได้ตายไปแล้วหรือยัง?
แล้วถ้าตายไปแล้วล่ะก็…
ไม่จำเป็นต้องแต่งเป็นผีก็ได้สินะ
- Kanine Kyrie Keith -
======================================
"งั้นก็บ้ายบายค่ะพี่คีธ ไว้เจอกันใหม่นะค้า∼" เสียงหวานใสของสาวน้อยวัยประถมเอ่ยคำลา เธอหอบหิ้วเอาขนมที่ได้รับกลับไปทางสนามฟุตบอลแล้ว
'คงรีบกลับไปดูหนังน่าเบื่อนั่นสินะ...'
"ได้! แล้วเจอกัน" ชายหนุ่มร่างสูงสูงในชุดไปรเวทธรรมดาไม่ได้แต่งแฟนซีเช่นนักเรียนคนอื่นโบกมือลาเด็กสาวเล็กน้อย พร้อมขยับรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งที่มุมปาก เด็กหญิงที่เพิ่งพบเจอกันคงไม่รู้หรอกว่านิสัยที่แท้จริงของ เคไนน์ ไครี่ คีธ เป็นเช่นไร ให้เธอจดจำเขาไว้ในฐานะพี่ชายที่แสนดีที่ทำขนมอร่อยๆ มาให้น่ะดีแล้ว
จากที่เพิ่งทำความรู้จักทำให้ชายหนุ่มได้รู้ว่าเธอชื่อ มัฟฟิน เป็นหลานสาวของผู้อำนวยการโรงเรียน เขาไม่แปลกใจนักที่ได้เจอกับเธอ แต่สิ่งที่แปลกประหลาดจนต้องขบคิดมากกว่านั่นก็คือ...
'ได้เจอหลานสาว ผอ. แต่ไม่เคยเจอ ผอ. เลยสักครั้ง'
ทั้งๆ ที่เขาชอบแว้บผ่านไปแถวๆ ห้องผู้อำนวยการบ่อยๆ เพื่อได้เจอกับ คัพเค้ก สุนัขสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนสีขาว ที่เป็นดั่งนางฟ้าในใจ คอยเยียวยาและบรรเทาจิตใจอันเศร้าหมองให้แก่เขาตลอดมา ชายหนุ่มจึงรักเธอมากเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักสุนัขตัวหนึ่งได้....
'จะว่าไปก็คล้ายๆ คัพเค้ก... น่ารักดีแฮะ ถ้ามีลูกสาวก็อยากได้แบบนี้ล่ะนะ'
ฉับพลันรอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายกลับมาเป็นคนบึ้งตึงเช่นเดิม หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันคล้ายจะเป็นปมด้าย
'บ้าบอ อายุแค่สิบเจ็ดทำไมมาคิดเรื่องมีลูกได้วะ! อีกอย่างพอมาเป็นแบบนี้แล้ว... เลิกคิดไปได้เลย'
เคไนน์ก้มลงมองมือกร้านของตัวเองที่ผ่านร้อนจากการอยู่หน้าเตาไฟ และผ่านหนาวจากการแกะกุ้งแช่แข็งอย่างชำนาญ บนนั้นแสดงหลักฐานถึงสิ่งที่เขาตัดใจในการมี 'อนาคต' รอยกัดลึกจนขึ้นรอยแผลเป็นแดงจ้ำเต็มทั่วมือและแขนข้างซ้าย ขนาดว่าเขาเข้าครัวทำอาหารบ่อยๆ ยังไม่เคยจะได้แผลเยอะขนาดนี้มาก่อน ยิ่งมอง 'ตราบาป' ที่จารึกก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดใจ
"ชิ! ช่างแม่ง!" เสียงฮึ่มฮั่มหัวเสียส่งผ่านออกมาจากลำคอ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ ไม่ให้หงุดหงิดง่าย เคล็ดลับนี้เขาได้เรียนรู้มาจากภาพยนตร์เรื่อง ดิ อินเครดิเบิ้ล ฮัลค์ ต้องขอบคุณมาร์เวลจริงๆ...
แสงไฟหน้าอาคารร้างถูกเปิดขึ้นเป็นแสงสลัว ...ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่าวันนี้จะเปิดให้เข้าไปเล่นบ้านผีสิงในนั้นกันได้อย่างถูกกฎของโรงเรียน แตกต่างจากเมื่อครั้งทดสอบความกล้าที่ต้องลักลอบเข้าไป
'คนจัดมันก็คนเดียวกัน ทำไมอันนึงถูกกฎ อีกอันผิดกฎฟะ..'
ใจก็โทษเจ้าซอมบี้หมวกแก๊ปแดงที่ทำให้ต้องเสียเวลาเขียนจดหมายสำนึกผิดโดยที่ไม่เคยรู้สึกผิดเลยสักนิด เปลืองทั้งเวลา ค่ากระดาษ และน้ำหมึก แต่ก็พอจะหยวนๆ ให้ได้เพราะได้ตุ๊กตาคัพเค้กมาเป็นรางวัลถึงสี่ตัว...
ของหวานในถังที่เอามาแจกหมดพอดี ระหว่างนี้ก็ไม่มีอะไรทำ ปาร์ตี้ที่โรงยิมก็ยังไม่เปิด จะให้กลับไปดูดั๊กแลนด์อะไรนั่นต่อก็ฝันไปเถอะ ปล่อยให้เป็นผลงานเรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับไปน่ะดีแล้ว..
'ช่วยไม่ได้... ลองไปสำรวจสักหน่อยคงไม่เสียหาย'
เรียวขายาวก้าวฉับๆ ไปยังจุดหมาย เมื่อไปถึงเขาก็เจอกับเจ้าซอมบี้หมวกแก๊ปแดงที่ตอนนี้แต่งคอสเพลย์ชุดสูทแถมยังย้อมผมสีน้ำตาลเป็นตัวละครอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้จัก
'เออ ก็ดี หัวไม่เขียว ไม่รกหูรกตา'
ซ้ำยังมีตัวประหลาดอยู่ตรงนั้นอีกสองตัว..
'ตัวเชี่ยอะไรวะ... เหมือนท่อผ้าร่มเป่าลมหน้าปั๊มน้ำมัน..'
เขาหรี่ตาเพิ่งมองซ้ำแล้วก็พูดในใจว่า 'ช่างแม่ง' ก่อนจะหันเป็นเห็นหญิงสาวหน้าเละ
'!?!! คนหรือผีจริงๆ วะเนี่ย!!'
แอบเหวอเล็กๆ หัวใจหล่นวูบลงไปกองได้ยังไม่ถึงหัวเข่า ก็เรียกสติโกยขึ้นกลับมาอยู่ที่กลางอกข้างซ้ายได้ตามเดิม เคไนน์ยังเก็บอาการได้ดีและไม่ได้แสดงสีหน้าออกไปว่าตกใจ แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใครแต่ดูจากผิวพรรณและสีผมจึงพอจะเดาได้ว่าเป็นมนุษย์
'เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ แต่อยากหน้าเละแบบพวกซอมบี้.. พิลึก'
ระหว่างนี้เขาก็ได้ยินเจ้าหมวกแก๊ปพูดอธิบายเกมแบบผ่านๆ
".....จนกว่าจะถึงทางออก ข้างในไม่มีตัวช่วยแต่สามารถใช้เวลาได้เต็มที่ ข้อสำคัญคือห้ามทำลายข้าวของ ห้ามทำร้ายผีทุกตัวในบ้านเด็ดขาดนะครับ"
หลายคนขานรับ น้ำเสียงฟังดูคุ้นหู คงจะเป็นพวกซอมบี้ขี้โวยวายชวนหัวที่พบเจอบ่อยๆ ที่หอพัก แค่ยังระบุชี้ชัดเป็นรายบุคคลไม่ได้ว่าเจ้าสองหน่อนี้เป็นใคร
"แต่ถ้าเผลอก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?" เคไนน์เอ่ยถามน้ำเสียงนิ่งเรียบเพื่อความชัวร์ ก็เผื่อไว้ก่อนเพราะว่าตอนตกใจไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้จะไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้มาและไม่เคยทะเลาะวิวาทถึงขั้นชกต่อย แต่มือเท้าเขาก็ชอบสะบัดไปเองไวใช่ย่อย
"ถ้าเผลอก็... ต้องดูว่ารุนแรงแค่ไหนนะฮะ" คำตอบที่ได้รับ ตีความว่าอนุญาตให้เผลอทำรุนแรงได้
"ไม่น่าจะถึงตาย" ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังเดิม พร้อมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
"ถ้าพร้อมแล้วผมก็ขอส่งพวกคุณตรงนี้ เชิญด้านในเลยครับ ขอให้โชคดีนะฮะ"
หลังสิ้นเสียงเจ้าหมวกแก๊ปฯ เขาก็ส่งให้คณะผจญผีไปตามทางที่ทั้งมืดและดูสกปรก มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาให้พอมองเห็นทาง เสียงดนตรีหลอนวิเวกวังเวงดังขึ้นประกอบบรรยากาศให้ยิ่งดูน่ากลัว สำหรับเคไนน์แล้วนั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกขวัญเสียมากเท่าไร มีดนตรีสิดี แต่ถ้าเงียบๆ แล้วมีผีตุ้งแช่โผล่ออกมาหัวใจคงได้วายตายอีกรอบ...
"โอเคคค งั้นไปกันนน" หนึ่งในเจ้าตัวยึกยือเอ่ยขึ้นแล้วลากตัวยึกหยึยอีกตัวตามไปด้วย เหลือเพียงเขากับสาวหน้าเละที่ตามหลัง
"ม่ะ!! ดูซิว่ามันจะยากแค่ไหนกันเชียว!!"
ชายหนุ่มรอปิดท้ายด้วยความเคยชินตั้งแต่ตอนเข้าค่าย ถ้าไม่ได้นำหน้าเขาก็มักจะปิดท้ายกลุ่มนี่แหล่ะ ตำแหน่งนี้ก็ควบคุมอะไรง่ายดี ทั้งไม่ต้องรับมือกับสิ่งที่ชวนหัวใจวายตายก่อน (แม้ว่าความจริงอาจถูกหลอกจากด้านหลังได้ง่ายเช่นกันก็ตาม) แล้วยังช่วยคุมคนที่เดินไปก่อนหน้าไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
‘เช่นยัยผู้หญิงคนนั้น ท่าทางชักช้าดูเป็นตัวถ่วง’
เคไนน์คิดว่าหากคุมอยู่ด้านหลังก็น่าจะเร่งให้เธอเดินไปด้านหน้าเร็วๆ ได้
“ขณะนี้พวกคุณได้เข้ามายังคฤหาสน์ Hollow House คฤหาสน์แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลากว่า 50 ปี มันเป็นบ้านและห้องทดลองของศาสตราจารย์ นอร์แมน รีเซต ผู้มากไปด้วยปัญญา แต่สติสตังของเขาน้อยเหลือเกิน ว่ากันว่าเขาทำการทดลองมากมายที่นี่ โดยมีงานวิจัยหลักคือการทดลองมนุษย์.."
อยู่ๆ เสียงจากวิทยุเก่าก็ดังขึ้น เจ้ายึกหยึยที่อยู่ด้านหน้าตัวหนึ่งสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด
"พวกคุณรู้มั้ยว่าคฤหาสน์ใหญ่โตแบบนี้ ต้องใช้คนงานกี่คนในการสร้าง? มากกว่าร้อยคนเลยล่ะ เรื่องที่ประหลาดก็คือ คนงานเหล่านั้นเขามาทำงานที่นี่ แต่เขาไม่เคยได้กลับออกไปอีกเลย ชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่มากเล่าว่าพวกเขาได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากคฤหาสน์หลังนี้ทุกคืน”
"โฮ่.." น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูพึงพอใจไม่น้อยกับบทบรรยายที่ทำให้บ้านผีสิงแห่งนี้ดูไม่จืดชืด และคิดว่ามันช่างดูคล้ายคลึงกับบ้านผีสิงในดิสนีย์แลนด์ ถ้าหากเหมือนอย่างนั้นก็ไม่คงน่ากลัว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ คฤหาสน์ร้างที่ใช้โลเคชั่นของอาคารเรียนเก่า ก็นับว่าตกแต่งได้ดี ทำอะไรแต่ละทีลงทุนพันล้านอย่างกับถ่ายหนัง
'อย่ามีตุ้งแช่โผล่มาก็แล้วกัน'
“ทีนี้พวกคุณน่าจะเริ่มปะติปะต่อเรื่องราวได้แล้วใช่มั้ย? ตอนนี้พวกคุณได้ตื่นขึ้นมาในห้องแห่งนี้ โดยไม่รู้ที่มาที่ไปใดๆก่อนหน้าเลย เป็นหน้าที่ของพวกคุณ ที่จะต้องไขปริศนาและหาทางออกไปจากทีนี่ให้ได้ เวลาของผมเหลือไม่มากแล้ว ซ่า--- ซ่าาา ขอให้โชคดี--- ตื้ด ตื้ด ตื้ด”
"สงสัยหล่นไปในอุโมงค์กระต่ายเข้าสู่วันเดอร์แลนด์แหงๆ" เจ้ายึกหยึยตัวใหญ่กว่าพูดขึ้นติดตลก ฟังไปฟังมาทำให้รู้ว่าคนที่แต่งตัวน่าเกลียดนั้นคือซอมบี้ที่ชื่อว่า ซิลเวอร์ ส่วนอีกคนยังไม่รู้ว่าใคร แต่ก็คงเป็นเพื่อนของหมอนั่นน่ะแหล่ะ ไม่รู้ทำไมถึงได้โล่งใจขึ้นมา อาจเป็นเพราะตัวน่ารำคาญหายไปหนึ่ง
'ก็ดี มีเพื่อนซะจะได้ไม่ต้องมาตามรังควานฉัน'
ในตอนนี้พวกเขาทั้งสี่ได้เข้ามาอยู่ในห้องทำงานเก่าที่ถูกเซ็ตฉากขึ้นมา ถ้าจับใจความจากวิทยุเมื่อครู่ ห้องนี้น่าจะเป็นด่านปริศนาไขความลับเหมือนในเกมอาร์พีจีทั่วๆ ไป และทุกคนที่อยู่ที่นี่น่าจะคิดเช่นเดียวกันจึงแยกกันค้นหาเบาะแสในการออกจากห้องนี้
ซอมบี้หนุ่มปกติแล้วไม่ใช่คนสายตาดีเท่าไร และยิ่งอยู่ในที่มืดสลัวยิ่งมองเห็นภาพตรงหน้ายากขึ้นอีกเท่าตัว เขาหยิบสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดแฟลชส่องไปทั่วพอมีแสงสว่างแม้ไม่มากนักก็ทำให้มองเห็นชัดถนัดตา
เคไนน์ไม่ได้สนใจสิ่งอื่นนอกจากชั้นหนังสือที่วางเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ มันช่างดูขัดหูขัดตาเสียเหลือเกินจนต้องแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง โชคดีที่เขาเคยอ่าน ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ มาแล้วครบทุกภาค ซ้ำยังเอาวรรณกรรมเยาว์ชนที่เล่มหลังๆ โหดร้ายเกินกว่าจะเป็นวรรณกรรมเยาว์ชนมาเขียนเป็นรายงานสรุปตีการตีความวิชาวรรณกรรมจนได้เกรดเอมาอย่างง่ายดาย
กริ๊ก
เสียงปลดล็อคตู้เซฟดังขึ้นมาทันทีหลังจากที่เขาวางหนังสือ ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ เครื่องรางยมทูต’ เล่มสุดท้ายของซีรี่ย์ถูกใส่ลงไปพอดีกับล็อคของชั้นหนังสือ
“หืม?” ไม่คิดว่าจะมีกลไกลับอยู่ที่ชั้นหนังสือเหมือนในหนังจีนกำลังภายในจริงๆ แอบยกย่องตัวเองในใจที่แก้ปริศนาแรกได้
‘หึ ฉันนี่มันอัจฉริยะจริงๆ’
เจ้ายึกหยึยเล็กตรงไปเปิดตู้เซฟทันที และเหมือนว่าจะพบอะไรในนั้นเสียด้วย ประจวบกับที่หญิงสาวชาวมนุษย์เพียงคนเดียวเอ่ยบางอย่างออกมา
“กวางลูกตาหาย?”
“เอ่อ เมื่อกี๊นี้เธอบอกว่าช่วยดูอะไรนะ???”
"อ๊ะ มีหัวกวางอยู่นี่ ลองเอาไปใส่ไหม?"
เคไนน์มองตามขึ้นไปทันทีพร้อมทั้งส่องแฟลชไปยังหัวกวางสลับกับตู้เซฟ จากที่ซิลเวอร์พูดว่า ‘ลองเอาไปใส่ไหม?’ แปลว่าเจ้าพวกนั้นคงเจอลูกตาที่หายไปจากดวงตากลวงโบ๋ของกวางน้อยที่ชวนหลอน แต่การจะเอาสิ่งที่น่าจะเป็นดวงตาของกวางใส่คืนไปคงต้องต่อตัวขึ้นไปติด ขนาดว่าเขาตัวสูงที่สุดในนี้แล้วยังต้องเอื้อมมือจนสุดปลายแขนจึงจะแตะถึงฐานลำคอของกวาง
“หัวกวางน่ะ ตามันหายไป แล้วจะเอาอะไรมาใส่นะ?”
“เอ้อ ในตู้มันมีลูกแก้วสีแดงๆอ่ะ จะเอาไปใส่ให้กวาง?”
“อ้าวไม่ถึง จีนมมาขี่หลังฉันมา”
“งั้นลองเลย”
ในที่สุดก็กระจ่างชัดเสียทีว่าสิ่งที่อยู่ในมือของเจ้ายึกหยึยเล็กคืออะไร (นั่นเรียกว่ามือได้ไหม?) และก็ทำให้รู้ชื่อเพื่อนของซิลเวอร์ ฟังดูก็คุ้นๆ เหมือนกับเคยได้ยินที่ไหน แต่ก็ไม่ได้จำคนที่ไม่มีผลต่อชีวิตประจำวัน
ในระหว่างที่สองยึกยือต่อตัวกันขึ้นไปติดลูกแก้วที่ตาของกวางเคไนน์ก็ลองสำรวจห้องต่อ เพราะหากตามสูตรแล้ว ปริศนาเพียงแค่นี้คงไม่อาจคลี่คลายได้ และอีกอย่างคือลูกแก้วที่เอาไปใส่ในดวงตาก็มีเพียงแค่ลูกเดียว ยังไงก็ต้องหาอีกลูกเพื่อใส่อีกข้างอยู่แล้ว
ชายหนุ่มเดินวนรอบห้องก่อนเดินมาหยุดที่ภาพวาดลิงแมนดริลกำลังชูลูกสิงโตอยู่บนหน้าผา หรือก็คือโปสเตอร์หนังเรื่อง ‘เดอะ ไลอ้อนคิง’ นั่นเอง...
มองดูแล้วก็อดนึกกลับไปถึงเมื่อคืนรอบกองไฟของวันเข้าค่ายวันที่สองไม่ได้ เพียงหลับตาลงนึกถึงภาพใครบางคนที่ขับขานบทเพลง ‘เธอรู้สึกถึงรักหรือเปล่า’ มุมปากก็ขยับขึ้นเป็นองศา
‘เธอร้องเพลงเพราะซะจนทำเอาฉันหลับเลยนะ...’
แต่เมื่อนึกได้ว่าไม่ควรมาคิดเรื่องอะไรแบบนั้นในตอนนี้ก็ยกมือขึ้นลูบหน้าปรับอารมณ์โดยไว
‘เวร… ฟุ้งซ่านบ้าบออะไรตอนนี้วะ ไอ้บ้าเคน!’
เขาก็ตรงเข้าไปขยับกรอบรูปนั้นทันทีโดยหวังว่าที่ผนังจะมีประตูลับหรืออะไรสักอย่างซ่อนเอาไว้ แต่หรือก็เปล่าเลย มันเป็นเพียงแค่ภาพวาดประดับห้องธรรมดาจึงต้องเสาะหาเบาะแสปริศนาจากสิ่งของอื่นๆ ภายในห้อง
กริ๊ก
เสียงปลดล็อคประตูห้องดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เขาละออกมาจากภาพวาด ใครสักคนคงแก้ปัญหาได้ถูกจุดพอดี ซึ่งถ้าหากมันดังมาจากประตูก็น่าจะหมายความว่าออกจากห้องได้แล้วหรือเปล่า เคไนน์จึงเดินไปยังประตูแล้วบิดลูกบิดก่อนที่ทีมติดลูกตาจะรู้ตัวเสียอีกว่าเสียงดังมาจากทางไหน
“เสียงมาจากทางไหนนะ”
“เหมือนจะมาจากประตูนะ?”
‘แต่มันจะง่ายขนาดนั้นเลย?’
กึกๆ กึกๆ
“ยังไม่เปิดแฮะ” เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ลูกตาเพียงข้างเดียวไม่สามารถถอดสลักประตูได้หมด จำเป็นต้องใช้อีกข้างเพื่อปลดล็อคที่เหลือ ก็ต้องเสียเวลาหาดวงตาอีกข้างให้เจอ แต่สำหรับเคไนน์นับว่าดี เพราะว่าเขาชอบเกมแก้ปริศนาหาทางออกจากห้องมากเสียกว่าเกมวิ่งหนีผีให้เหนื่อยฟรีแถมยังไม่น่ากลัว
กริ๊ก
ยังไม่ทันได้หยิบจับอะไรเสียงปลดล็อคก็ดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ดังออกมาจากลิ้นชักของโต๊ะทำงาน จึงรีบตรงไปเปิดลิ้นชักนั้นออกทันทีและพบว่าในนั้นมีลูกแก้วสีแดงที่เหมือนดวงตาอีกข้างของกวางอยู่พอดี
"เจออีกอัน..." เขาหยิบมันขึ้นมาส่องกับแสงแฟลช ก่อนจะบุ้ยหน้าไปทางเจ้าตัวยึกหยึยสองตัวเชิงบอกว่า ‘ขึ้นไปใหม่’ ไม่ว่าสองคนนั้นจะเห็นหรือไม่ก็ตาม
"วุ้วววว อ่ะ เจอเพิ่มหรอ เก่งมาก!" คนที่น่าจะเป็นซิลเวอร์แบมือขอลูกแก้วอย่างรู้หน้าที่ สมกับที่เขาเคยฝึกให้เป็นหมาดีหนึ่งวัน แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวกลับโยนลูกแก้วไปให้แบบส่งๆ หากรับได้ก็รับรับไม่ได้ก็ปล่อยให้ตกพื้นไป ซึ่งคนที่รับได้กลับเป็นเจ้าหยึกหยึยอีกคน
ติดเสร็จก็น่าจะออกจากห้องได้แล้วแต่เคไนน์ก็ยังคงสำรวจหยิบจับนั่นนี่ขึ้นมาดูเผื่อว่ากลไลไม่คลื่คลายก็จะได้ไม่เสียเวลาหาของใหม่
‘ไอ้นี่เหมาะมือดีแฮะ’
ซอมบี้หนุ่มถือที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลขึ้นมา ขนาดมันกำลังพอดีมือเหมาะที่จะใช้เป็นอาวุธได้เลย แต่เมื่อนึกถึงกฎข้อที่ห้ามทำร้ายผีและสิ่งของก็ต้องวางมันลงอย่างเสียดาย
แกร๊ก
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดังกว่าครั้งก่อนหน้าที่ติดลูกตากวางเม็ดแรก
“ประตูเปิดแล้วป้ะ”
“ที่ประตูมีเสียงอะไรด้วย?”
“อ่ะ เปิดแล้วหรอ เย้ๆๆๆ”
ทั้งสามดูจะดีใจที่แก้ไขปริศนาห้องแรกได้เสียที ส่วนเคไนน์ไม่ได้แสดงอาการพึงพอใจออกมามากนักเพราะหากเหมือนเกมที่เคยเล่นตอนเด็กๆ หลังจากแก้ปริศนาออกจากห้องได้สำเร็จก็จะมีบางอย่างที่ทำให้ตกใจรออยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาคมจับจ้องไปยังหญิงสาวที่บิดลูกบิดประตู
‘ยัยนี่จะเป็นคนแรกที่รับเคราะห์สินะ’
เขายังคงขอปิดท้ายโดยไม่เอ่ยปากบอก พร้อมยกมือถือขึ้นส่องแฟลชออกไปที่ช่องประตู กึ่งเร่งเร้าว่า
‘ออกไปกันได้แล้ว’
ถึงจะตะขิดตะขวงใจอยู่เล็กๆ ที่ต้องให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องเป็นคนนำแล้วผจญผีตุ้งแช่เป็นคนแรก…
เคไนน์เดินตามสามคนด้านหน้าออกไป ด้านนอกห้องทำงานเป็นทางเดินมืดๆ ยาวๆ มองไม่เห็นปลายทาง ดูลึกลับไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาแกล้งเมื่อไร และยิ่งเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็พบว่าสองฝั่งทางเดินเป็นกรงขังและมีบางสิ่งกำลังขยับอยู่…
“จีนนี่สนิทกับเพื่อนดีนะ”
หญิงสาวชาวมนุษย์เพียงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยทักทำลายความเงียบ ซึ่งเคไนน์ไม่ได้สนใจจะใคร่รู้เรื่องชาวบ้าน เขาส่องไฟไปยังวัตถุที่ขยับทันใดนั้นบางสิ่งที่ว่าก็พุ่งเข้ามากระแทกกับลูกกรงจนเกิดเสียงดังตึงตังเต็มไปหมด
โครม!! กึง!! กึง!! กึง!!!!!
“Scheiße!!!” ซอมบี้หนุ่มสบถหยาบดังลั่น พร้อมสะดุ้งก้าวถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ แม้จะทำใจเอาไว้บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกตกใจจนเผลอขวัญหายไปเสี้ยววินาทีเช่นกัน
"กี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"
“ว๊าาายย !!!”
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ช็อตตกใจนี้ทำเอาหลายคนกรีดร้อง แต่เสียงกรี๊ดของบางคนก็ดูเหมือนร้องเล่นๆ สร้างบรรยากาศไปอย่างนั้นเหมือนกัน
สิ่งที่พุ่งเข้ามากระแทกกรงขังคือร่างมนุษย์สภาพหิวโซหลายสิบคน พูดจาไม่ได้ศัพท์และกรีดร้องอย่างโหยหวย เอื้อมมือออกมาลอดลูกกรงพยายามที่จะคว้าตัวผู้ที่เดินผ่านเอาไว้
เคไนน์พยายามไม่ถอยหลังมากเกินไปจนถูกคนพวกนี้จับได้ เป็นอีกครั้งที่ต้องสูดหายใจเข้าลึกหลังสงบสติระรึกได้ว่ามันเป็นเกม เปล่งเสียงลอดออกมาจากไรฟันที่ขบกันแน่น
"ฉันน่าจะหยิบที่เขี่ยบุหรี่มาด้วย"
“ซอมบี้น่ากลัวโคตร!!!!!!!!”
“ของปลอมๆๆๆๆๆๆๆ”
บางคนดูเหมือนว่ายังตั้งสติกันไม่ได้ แต่ทันทีที่เสียง ‘กึง!’ ดังขึ้นที่ด้านหลัง หรือก็คือห้องทำงานที่เพิ่งออกมาก็ทำให้เงียบเสียงลงไปได้บ้าง
"บางทีเราน่าจะต้องไปกันต่อนะ"
“เผ่นเห๊อะ!!!!!!!!!!!!”
จากนั้นงานโกยก็มา คนอื่นๆ วิ่งไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิต แต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้ระรึกว่า ‘มันเป็นเกม’ จะไม่ได้จริงจังกับการวิ่งหนีอะไรก็ตามที่เพิ่งออกมาจากประตูมากนัก
‘ตามสูตรก็ต้องเป็นฆาตกรสวมหน้ากากถือเลื่อยไฟฟ้าสินะ...’
จินตนาการภาพในหัวเสร็จสรรพ.. อันที่จริงก็เดาได้ไม่ยากเพราะตอนที่เป็นมนุษย์ก็เคยเข้าบ้านผีสิงเล็กๆ กับน้องชายมาก่อน เพียงแค่ในตอนนั้นไม่มีปริศนาอะไรให้แก้ มีแค่ความมืดที่ดูน่ากลัวกับต้องวิ่งหนีฆาตกรอย่างเดียว
เบื้องหน้าของปลายทางคือห้องๆ หนึ่งซึ่งติดป้ายไฟด้านบนเป็นคำเตือน ‘อันตราย’ หากเป็นสถานที่จริงคงไม่ควรเข้า แต่พอมาเป็นเกมบ้านผีสิงแล้วนี่แหล่ะคือเป้าหมายต่อไป
เคไนน์พุ่งเข้าประตูเป็นคนสุดท้ายพร้อมปิดประตูแล้วหาอะไรมาดันขัดเอาไว้ อย่างน้อยหากมีอะไรไล่ตามมาจากด้านหลังจริงก็น่าจะพอถ่วงเวลาเอาไว้ได้บ้าง เขาไม่อยากจะวิ่งในที่มืดๆ มันอันตรายเสียกว่าคนที่ตามมาเสียอีก ถึงจะเข้ามาในนี้แล้วแต่ซิลเวอร์ก็ยังแสร้งกรี๊ดไม่หยุด ทำเอาที่ขมับชักจะปวดปลาบขึ้นมา
“หนวกหูว้อย!!!!”
ภายในห้องนี้ดูเหมือนจะสว่างกว่าห้องที่ผ่านมาจึงพอได้รู้ว่าผนังทั้งสี่ถูกทาด้วยสีขาว ดูสะอาดสมกับเป็นห้องวิจัย แต่ทว่ากลับดูลึกลับน่ากลัวด้วยอวัยวะดองในขวดโหล ตั้งเรียงกันบนชั้นเป็นตับ
ชายหนุ่มพยายามไม่สนใจของในขวดมากนัก เพราะมันไม่ดีต่อระบบย่อยอาหารเสียเท่าไร สิ่งที่น่าประหลาดใจคือร่างมนุษย์ที่สูงใหญ่กว่าสองเมตรในสภาพที่หลับไหลในตู้กระจก คงเป็นหุ่นจำลองที่โรงเรียนหามา มันสมจริงจนน่าขนลุก
‘หืม… จะว่าไปก็คล้ายกับแฟรงค์เกนสไตน์เลยแฮะ’
ไม่ได้พินิจนานนักเพราะเดาได้ว่าเมื่อเหยียบย่างเข้ามาให้ห้องถัดไปแล้วต้องมีปริศนาอะไรบางอย่างให้ได้แก้ไข ซึ่งเขาสนุกกับส่วนนี้มากกว่าชมภาพไม่เจริญหูเจริญตา และเมื่อพบกับแผงวงจรควบคุมเขาก็เดินตรงไปทางนั้นทันที บนหน้าจอเขียนข้อความว่า…
[ จับคู่บทพูดและผู้พูดประโยคนั้นให้ถูกต้องอย่างน้อย 4 ข้อ ]
หวังว่าการดูหนังและอ่านหนังสือฆ่าเวลาตอนเบื่อๆ จะพอช่วยให้เขาผ่านปริศนาข้อนี้ไปได้ และเมื่ออ่านโจทย์คำถามแต่ละข้อเขาก็ตอบได้เรื่อยๆ จนมาสะดุดใจกับข้อ (E) ลุงแถวบ้าน...
"ห๊ะ!” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด
‘ใครวะลุงแถวบ้าน? บ้านใคร? หรือบ้านจะหมายถึงโรงเรียน? หรือจะเป็นผอ.?’
ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวก็เข้ามาช่วย
"เธอแก้ปริศนาได้ไหม?" เอ่ยถามออกไปเพราะตอบได้ไม่ทั้งหมด
“ไม่แน่ใจ…” เธอนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ น่าจะกำลังใช้ความคิดอยู่ “แต่ A กับ F นี่เคยดูอยู่ 6 กับ 4”
"อืม งั้นลองมาจับคู่ดูก่อน 1. การศึกษาเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด ที่เราจะนำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงโลก กับ (D) เนลสัน แมนเดลลา" ชายหนุ่มเริ่มจับคู่ที่ข้อแรก ตามมาด้วยข้อที่ผู้หญิงคนนี้เคยบอกไว้ ซึ่งมันตรงกับที่เขาคิดเอาไว้พอดีเหมือนกัน
‘แบทแมน กับ ฉันคือแบทแมน.. แล้วก็ มาเลฟิเซนต์ คู่กับ แหม แหม แหม ก็เหลืออีกข้อนึง...’
“อ๊ะ นึกออกคนนึง” ผีสาวหน้าเละกล่าวออกมาแล้วกดเลือกคำตอบเพิ่ม
ยังไม่ทันได้ดูว่าเธอกดเลือกคำตอบอะไรไปหน้าจอคำถามก็เปลี่ยนเป็นตัวอักษรคำว่า ‘OPEN’ สีเขียว พร้อมเสียงปลดสลักที่บานประตูที่ถูกล็อคเอาไว้…
แกร๊ก… แกร๊ก… กิ้ก
และตามสูตรที่เคยคำนวนไว้ในห้องก่อน หน้างานต่อจากการแก้รหัสคือการหนี!
เพล้ง!!
ร่างยักษ์ใหญ่ในตู้กระจกเบิกตาโพลงขึ้นพร้อมกับพังตู้กระจกและคำรามโฮกฮากเหมือนสัตว์ป่าดุร้าย
"Scheiße.." การลากของมาดันประตูไว้ตอนก่อนหน้าช่างเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ เสียพลังงานไปโดยเปล่าๆ ปลี้ๆ เพราะสิ่งที่เขาต้องหนีคือไอ้ตัวใหญ่ที่อยู่ในห้อง ไม่ใช่สิ่งที่ตามมาจากทางเดินนอกห้อง
‘ฉิบหายล่ะ… ทำไมมันขยับได้ว่ะ! เป็นของปลอมไม่ใช่เร้อ!!!’
ไม่รู้ว่าร่างยักษ์ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังจะเป็นหุ่นยนต์ที่โรงเรียนทุ่มทุนสร้าง หรือว่าจ้างนักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอที่มีส่วนสูงเกินปกติมาตรฐานของคนธรรมดามา ในตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีเวลามาคิดวิเคราะห์มากนัก ด้วยความสมจริงเลยผลักดันให้เขาต้องรีบหนีจริงๆ
“ว้ายยยยยยย” ด้วยความตกใจหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้หญิงสาวในห้องนั้นมัวแต่ลีลาปิดหูไม่วิ่งเสียที จนเจ้ายึกหยึยสองตัววิ่งกรูนำหน้ากันไปก่อนแล้ว
‘ถึงฉันจะรักตัวเองมากกว่า แต่ถ้าปล่อยทิ้งผู้หญิงไว้แบบนี้มันก็ทุเรศว่ะ’
ให้เป็นแบบนั้นเขาคงรับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน.. เคไนน์จึงดึงมือของเธอวิ่งออกประตูไปด้วย แต่ไม่ได้ถนอมมากนัก สภาพดูแล้วเหมือนถูลู่ถูกังมากกว่า
วิ่งออกจากห้องทดลองมาได้ก็ต้องเข้ามาเจอกับอีกห้องหนึ่งซึ่งอากาศเย็นกว่าปกติหลายเท่า หนาวอย่างกับตู้แช่ในห้องคหกรรม แต่ก็ไม่ได้หนาวจนถึงขั้นที่ทนไม่ไหว
"ไม่เกะกะหรอน่ะ?" เคไนน์เอ่ยถามเมื่อหันไปมองกระโปรงยาวของคนที่จับแขนลากมาด้วย ในความคิดเขารู้สึกว่ามันช่างเกะกะเหลือเกิน ช่างเป็นชุดที่ไม่เหมาะสมกับการมาตะลุยคฤหาสน์ผีสิงแบบนี้สิ้นดี
“แฮ่ก แฮ่ก...โคตรเกะกะเลยค่ะ” เธอดูจะเหนื่อยซ้ำยังหนาวด้วยชุดด้านบนที่หน้าอกเว้าลึก สองแขนเล็กๆ กอดตัวเองให้อบอุ่น
"ให้ตายเถอะ" เห็นสภาพแล้วก็อดที่จะกุมขมับไม่ได้ ไหนๆ เขาก็ไม่ได้หนาวอะไรมากมายอยู่แล้ว จึงถอดเสื้อนอกออกแล้วโยนไปให้ด้วยความเวทนา ถ้าหนาวมากอาจจะขาแข็งจนขยับไม่ได้ อย่างน้อยหากทำตัวให้อุ่นเข้าไว้ผู้หญิงคนนี้จะได้ไม่เป็นภาระมากนัก "ใส่ซะ"
“โอ้ ...ขอบคุณค่ะ”
เคไนน์เบือนหน้าออกจากเธอก่อนที่จะได้ทันพูดจบประโยคเสียอีก เขาเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ ห้องนี้ก็เห็นว่าเจ้าพวกยึกหยึยกำลังสำรวจตู้แช่อะไรบางอย่างอยู่… จริงอย่างที่คิดไว้ในตอนแรกว่าห้องนี้น่าจะเอาไว้แช่อะไรสักอย่าง ถูกต้อง.. และสิ่งที่กำลังถูกแช่อยู่ก็คือศพนั่นเอง!
เบื้องหน้าของพวกเขาคือตู้เก็บศพที่ตอนนี้ชักไม่มั่นใจแล้วว่าจะเป็นหุ่นยนต์ คน หรือว่าศพจริงๆ โดยหวังว่าโรงเรียนนี้จะไม่บ้าบอถึงขนาดไปขอซื้อศพคนจริงๆ มาประกอบเกม
เท่าที่ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะต้องไปประจำตามตู้แล้วตอบคำถามตามรายบุคคล ซึ่งเคไนน์ตรงไปที่ตู้หมายเลข 3 หมวดคำถามทั่วไป…
เมื่อเปิดตู้ออกก็พบกับร่างมนุษย์ผู้หญิงตัวสีดำทะมึนมีกลิ่นเหม็นไหม้ นอนนิ่งอยู่ในตู้ ร่างนั้นเบิกตาโพลงจ้องมองคุณด้วยดวงตาที่ไหลเยิ้มเหมือนไข่ขาว แล้วขยับปากเอ่ยถาม… “ชื่อเต็มของไมค์คืออะไร?”
“ห๊ะ!” ถึงกับอุทานสีหน้าฉงน ก่อนหน้านี้พอรู้มาบ้างว่าเป็ดที่โรงเรียนมีชื่อว่า ‘ไมค์’ แต่นั่นก็จากการดูหนังกลางแปลงด้วยนั่นแหล่ะ เพราะฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าคนที่เพิ่งรู้ว่าเป็ดตัวนั้นชื่อไมค์จะมีชื่อเต็มว่าอะไร
'เป็ดหงอนเหลืองมันมีชื่อเต็มด้วยหรอวะ!!!'
อาจจะบ้ามากไปหน่อยที่ต้องใช้วิธีนี้.. แต่ชายหนุ่มก็ใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองค้นหาคีย์เวิร์ด ‘ชื่อเต็มของไมค์คืออะไร?’ ในอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่ามีชื่อๆ หนึ่งที่เด้งขึ้นมาหลายเว็บไซต์ เขาไม่แน่ใจว่านั่นคือคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่แต่ว่าลองดูก็ไม่เสียหาย
“ไมค์ ภิรมย์พร...” ทันทีที่ตอบออกไปเหล่าอสรพิษ รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลานน่าขยะแขยงก็ถูกปล่อยลงมาจากด้านบน
"Scheiße!?!!!" ชายหนุ่มร้องลั่นเสียงดังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่เมื่อเห็นว่าสัตว์น่ากลัวเปล่านั้นเป็นเพียงแค่ตุ๊กตายางก็เงียบเสียงปิดปากแน่นสนิท
เคไนน์หันมองผู้ร่วมชะตากรรมที่ตอบคำถามถูก ทุกคนได้ปีนเข้าไปในตู้ใส่ศพแล้ว ดูเหมือนว่าหลังตู้ใบนั้นจะมีประตูลับที่ทะลุไปยังทางออกไป แต่ทว่าเมื่อหันกลับมายังตู้เบอร์ 3 ประตูที่เปิดอ้าก็ถูกแรงอะไรบางอย่างดันปิดกลับไปเหมือนเดิม จะดึงเปิดออกมาก็ทำไม่ได้ ทำให้ต้องจำยอมเปลี่ยนตู้ใบอื่นเพื่อไปต่อ
แง่น แง่น แง่น
เสียงเลื่อยไฟฟ้าดังไล่หลังที่อีกฟากของบานประตู ไม่รู้ว่าตัวฆาตกรถูกปล่อยออกมาเมื่อไร คงเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาตั้งใจค้นหาคำตอบจึงไม่รู้สึกตัว
‘เห็นไหมว่าฆาตกรต้องถือเลื่อยไฟฟ้า สูตรสำเร็จ... แต่ยังไงมันก็แค่คนใส่ชุด...’
คิดแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรีบเร่งอะไรมาก แม้ว่าคนอื่นๆ คงจะหนีไปได้ถึงไหนต่อไหนแล้ว เขาเปิดตู้หมายเลข 7 อย่างใจเย็น มันเป็นตู้คำถามเกี่ยวกับวันฮาโลวีน น่าจะทำให้เขาพอตอบได้บ้าง
‘คราวนี้คงไม่ถามชื่อเต็มของคัพเค้กอีกนะ...’
ในนั้นมีร่างมนุษย์ผู้หญิงผิวสีม่วงคล้ำ กลางหน้าผากมีรูโบ๋ขนาดเท่าลูกกระสุนปืนพก ร่างมนุษย์นั้นเบิกตาโพลงจ้องมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ แล้วถามว่า “ชื่อจริงของ ดอกเตอร์แฟรงค์เกนสไตน์ คืออะไร? ระหว่าง ฟรานซิส กับ วิคเตอร์”
“วิคเตอร์!!” เคไนน์ตอบออกไปทันทีโดยไม่ต้องคิด นิทานผีเยอรมันเป็นอะไรที่เขาฟังมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้นคราวนี้เขามั่นใจว่าไม่มีตัวอะไรร่วงลงมาหล่นใส่หัวอย่างแน่นอน
ศพในตู้กลิ้งตกลงมาจนเห็นว่าหลังตู้เป็นช่องทางออกแคบๆ พอดีตัว เขาใช้เท้าเขี่ยศพนั้นออกไปให้พ้นๆ เพื่อจะปีนเข้าไปได้สะดวกโดยไม่สนว่านั่นจะเป็นคนแต่งแฟนซีหรือเปล่า
แง่น แง่น แง่น
พอคลานเข้าไปยังไม่ได้ทันทำอะไรอยู่ๆ ก็รู้สึกวูบหล่นลงไปในที่ไหนสักอย่าง แต่ไม่สูงนักจึงไม่บาดเจ็บและไม่ทันได้ส่งเสียงร้องโวยวาย
แม้จะมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าที่ๆ เขาตกลงมาคือห้องอะไร… กลิ่นเหม็นขยะคละคลุ้งจนขมคอโชยขึ้นอย่างไร้ความปราณี มือแกร่งยกมือขึ้นปิดจมูกปิดปากแทบไม่ทัน
"เหม็นฉิบ!"
แง่น แง่น แง่น
เสียงเลื่อยไฟฟ้าตามหลังมาใกล้ขึ้นทุกทีๆ แต่เคไนน์ไม่มีกระจิตกระใจจะวิ่งหนีเสียเท่าไร เพราะความรู้สึกยวบยาบใต้ผ่าเท้ามันช่างน่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน
‘ใครคิดให้เล่นเกมที่นี่วะ แม่งเอ้ย!!’
ระหว่างการเดินเร็วนั้น แสงแฟลชมือถือก็ฉายไปเห็นซากคัพเค้กที่บิดเบี้ยวกองพะเนินรวมกันอย่างน่าใจหายจนเผลอหยุดชะงักฝีเท้า
‘นี่มันตุ๊กตาคัพเค้กไม่ผ่านคิวซีตอนทดสอบความกล้านี่หว่า!!’
โล่งอกไปได้นิดนึงว่าไม่ใช่ของจริง ไม่อย่างนั้นคงโกรธมาก
“อายยยย ฟีลลล แฟนนนตาสสสตีกกกก เอ... เอ... เอ…...”
เพียงแค่เสียงเร่งเร้าจากเลื่อยไฟฟ้ายังไม่พอ ยังจะมีดนตรีประกอบสุดหลอนจากหุ่นห้องคหกรรมอีก เสียงรบกวนที่กระทบโสติประสาทมากเข้า ทำให้อารมณ์เสียมากกว่าหวาดกลัว
"ว้อย!! แง่นอยู่ได้!!!” อุปสรรคอีกอย่างในการเอาตัวเองออกไปจากห้องขยะก็คือกองเฟอร์นิเจอร์ที่ตั้งเกะกะขวางทาง ตอนนี้เจ้ายึกหยึยที่นำหน้ากำลังขนย้ายบางส่วนออกไป แต่ดูเหมือนว่าจะสามารถเคลียร์ทางออกไปได้มากเท่าไร
"เกะกะ!" เคไนน์ที่เริ่มจะหน้ามืดหูดับอารมณ์บ่จอยใกล้จุดระเบิด จากความเหม็น และเสียงดังน่ารำคาญ ทั้งเสียงเลื่อย เสียงดนตรีหลอน ซ้ำยังเสียงกรีดร้องของคนที่มาด้วยอีก หวังว่าวันนี้คงไม่มีอะไรทำให้เขาอารมณ์เสียไปมากกว่านี้จนเผลอทำอะไรแย่ๆ ในช่วงที่สติหลุดไปจริงๆ ในตอนที่พอจะควบคุมตัวเองได้บ้างก็ยกเฟอร์นิเจอร์ออกโดยไม่ดูว่ามันคืออะไร แล้วเขวี้ยงทิ้งอย่างเกรี้ยวกราด
ตูม!
สิ่งกีดขวางได้แตกกระจัดกระจายออกราวกับหนังสัตว์ประหลาดทำลายเมือง เสียงสยองคุ้นหูดังขึ้นชัดเจนมาก เพียงแต่คราวนี้ ร่างของเจ้าของอาวุธสังหารนั่นปรากฏขึ้นมาให้เห็นเต็มสองตา ชายปริศนายกเลื่อยไฟฟ้าขึ้นมาสตาร์ทโชว์อีกครั้งเพื่อแสดงแสนยานุภาพให้รับรู้และเริ่มวิ่งไล่
แง่น แง่น แง่น
คนอื่นวิ่งเร็วจี๋นำหน้าไปก่อนแล้ว ตรงกันข้ามกับเคไนน์ที่เพียงแต่วิ่งเอื่อยๆ พอเป็นพิธี ด้วยความเหนื่อย ซึ่งก็ยังพอที่จะทิ้งระยะห่างได้โดยไม่ถูกจับตัว ทั้งที่เขาวิ่งช้าขนาดนั้นแท้ๆ ยังจับไม่ทัน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าจงใจตามไม่ทันไปตามบทกันแน่
วิ่งไปได้สักพักก็เหมือนเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ
‘นั่นคือทางออกหรือเปล่า?’
เคไนน์หรี่ตาจ้องมองไปยังจุดสีขาวที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถูกต้อง มันคือทางออกจริงๆ ทั้งหมดจึงพากันวิ่งไปยังแสงของทางออกนั้น
และแล้วชายปริศนาก็ไล่หลังมาทันจนได้ แต่อยู่ๆ เขาก็ชะงักร้องครวญครางอย่างทรมานเมื่อต้องแสงนั่น
“อ๊ากกก ไอแอมด็อกเตอร์นอร์แมนนน!!!” ก่อนจะล้มเลิกที่จะหยุดไล่และวิ่งกลับไปทางเดิม เมื่อผ่านแสงสว่างนั่นออกมา ก็พบว่ามันคือทางออก
อยู่ในความมืดมานาน พอเจอแสงรู้สึกจาพร่านิดๆ จนต้องหยีตามอง เห็นว่าผู้รับบทฆาตกรคนนั้นไม่ได้ตามมาแล้วก็เปลี่ยนเป็นเดินช้าลง
‘ห๊ะ? เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ? ไอแอมแบทแมน?’
เพราะหูอื้ออึงจึงทำให้ได้ยินไม่ถนัดเท่าไร
‘ช่างเถอะ รู้ไปก็เท่านั้น มันจบไปแล้ว..’
แสงสปอร์ตไลท์ฉายสว่างจ้ามาทางบุคคลทั้งสี่ ชายหนุ่มยกแขนขึ้นมาบดบังดวงหน้าเอาไว้ มันเจิดจ้าเกินไปที่จะฝืนมองไปตรงๆ
“ฮ้ายย ทุกคนเป็นไงกันบ้างฮะ สนุกมั้ย?”
เจ้าซอมบี้หมวกแก๊ปแดงเดินออกมาจากแสงไฟหน้ายิ้มระรื่น ตรงกันข้ามกับกลุ่มคน (ที่ส่วนมากจะเป็นซอมบี้) ที่อยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงเปื้อนขยะ ชายหนุ่มบึนปากใส่หน้าหงิกทันทีเมื่อเจอหน้าหมอนั่น ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของคนตรงหน้าหรือเปล่าที่ให้ไปผจญกองขยะ แต่เป็นคนต้อนรับก็น่าจะมีส่วนร่วม เขาก็โทษหมดทุกคน
“สนุกดี แต่ไม่มีเตือนเลยว่าชุดจะเลอะ โฮ”
“นั่นดิ อุตส่าห์เย็บชุดตั้งนาน”
ซิลเวอร์ภายใต้ชุดมนุษย์ท่อยึกยือโอดครวญออกมา ส่วนอีกคนก็บ่นอุบ ถ้าเขาทำชุดแฮนเมดแล้วต้องมาพังเพราะแบบนี้ก็คงจะโมโหจริงๆ นั่นแหล่ะ
“อ๋าา ต้องขอโทษด้วยนะฮะ มีก๊อกน้ำตรงสนามฟุตบอลตรงโน้น ใช้ได้นะ”
ได้ยินจบประโยคนั้นเคไนน์ก็เดินไปทางสนามฟุตบอลที่อีกฟากทันที ชายหนุ่มสำรวจตัวเองว่าเลอะเทอะตรงไหนบ้าง ตามเสื้อไม่เท่าไร จะหนักหน่อยก็รองเท้ากับกางเกงที่โดนขยะเต็มๆ เขาเปิดน้ำก๊อกล้างมือและแขน วักมันขึ้นมาลูบหน้าสักนิดเพื่อบรรเทาอาการหัวร้อนที่อาจปะทุได้ทุกเมื่อยิ่งถูกกระตุ้นไปก่อนหน้า แล้วก็บอกได้เลยว่าน้ำก๊อกเย็นๆ ในฤดูใบไม้ร่วงทำเอาหน้าชาไปครึ่งซีก
“ขอบคุณทุกคนที่มาเล่นด้วยครับ จบอันนี้ผมขอเชิญชวนนะฮะ ที่โรงยิมมีงานปาร์ตี้ ไปร่วมสนุกกันได้นะครับ แล้วก็ก่อนไป สนใจซื้อรูปถ่ายของทุกคนในบ้านผีสิงมั้ยครับ? 10$ เท่านั้นน้า มีส่งไฟล์รูปทางอีเมลด้วยนะฮะ”
เสียงแว่วๆ มาแต่ไกล ไม่ทันได้จับใจความประโยคหน้า แค่ได้ยินว่าทางผู้จัดงานถ่ายรูปทีเผลอในบ้านผีสิงฟิวก็เริ่มจะขาด น้ำเย็นที่ลูบหน้าเมื่อครู่ช่วยอะไรไม่ได้เลย หรือไม่มันก็เย็นเกินไปจนทำให้สมองชา
‘ไอ้หมอนี่… แบล็คเมล์ฉันเร้อ!!!!’
แต่เดิมก็ไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปตัวเองโดยไม่ขออนุญาตก่อนอยู่แล้ว เขาถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเป็นอย่างมาก อย่างตอนดิสนีย์แลนด์ยังพอเข้าใจได้เพราะว่านั่นคือธุรกิจที่บอกล่วงหน้าว่ามีการถ่ายภาพติดจานลงในนั้น
‘ฉันไม่ใช่สัตว์ในสวนสัตว์นะเว้ยที่จะมาถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาต!’
ความคิดแง่ลบมากกว่าแง่ดีก่อขึ้นในหัวมากขึ้นๆ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ไม่เข้าหูแล้วตอนนี้
"ไม่ทำร้ายในนั้น.. แต่ทำร้ายตรงนี้ได้ใช่ไหม?" เสียงทุ้มแหบพร่าเค้นถามอย่างเยือกเย็น ได้ยินแค่นั้นเป้าหมายในการลากตัวมาลบรูปก็วิ่งหลบทางนั้นทางนี้ตลอด
‘ถ้าจัดการกับคนไม่ได้ พังคอมทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง’
มารในหัวให้คำแนะนำ ชายที่ใช้แต่อารมณ์จึงทำตามโดยไม่มียั้งคิด บริเวณอาคารเก่ามีเศษไม้วางทิ้งเอาไว้อยู่แล้ว เขาจึงเดินไปหยิบมันขึ้นมาแล้วตรงเข้าไปฟาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องนั้นเข้าอย่างจัง
โครม!!
“เอลล่าาาา” ซอมบี้หมวกแก๊ปแดงร้องเรียกใครสักคนมา นาทีนั้นก็ยิ่งทวีความยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก
"ฟุ้ว~ มีไฟล์สำรองเก็บไว้อยู่อีกไหม?" เคไนน์ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อแล้วโยนไม้หน้าสามโยนทิ้งไปไกลๆ
“อะแฮ้ม ทำลายของคนอื่นแบบนี้ได้ไง” ซอมบี้สาวที่เคยเจอเมื่อวานตอนทำอาหาร แล้วยังทำให้เขาตอบคำถามผิดเพราะมัวแต่ตะลึงกับอะไรบางอย่างที่มหึมาที่ดึงความสนใจให้จ้องมอง เธอตรงปราดเข้ามาพร้อมกับมองจ้องด้วยสายตาคมกริบ เหมือนกรรมการนักเรียนคุมกฎระเบียบ
"เดี๋ยวซื้อใช้คืน" ชายหนุ่มตนเหตุไหวไหล่ไม่ใส่ใจ เขายอมเสียเงินซื้อคอมพิวเตอร์คืนให้ดีกว่าเจ้าพวกนี้จะเอารูปของเขาไปแบล็คเมล์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากหญิงสาวที่เพิ่งเข้าบ้านผีสิงด้วยกัน
“อ๊า” หญิงสาวที่กำลังเลือกรูปอยู่หน้าจอถูกกระจกหน้าจอกระเด็นบาดหน้าทำเอาหน้ากลายเป็นหน้าเละจริงๆ โดยไม่ต้องพึ่งเมคอัพ
เขาชะงักมองอย่างตกใจผลของการกระทำของตัวเอง เสียงวิ้งให้หัวดังลั่น มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น จะว่าร่างกายชนจนทำอะไรไม่ถูกก็ส่วนหนึ่ง เรื่องคอมพังไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่เท่าที่ทำให้ผู้หญิงเจ็บตัว
“นายทำอะไรลงไป!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงร้องเหวอดังขึ้นจากยึกหยึยตัวเล็ก แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่ก็รู้ได้เลยว่าตกใจสุดขีดจริงๆ
“เฮ้ย! ไปห้องพยาบาล!” กว่าจะตั้งสติพูดออกไปได้ทีละคำ เหมือนว่ามันจะยากเย็นเหลือเกิน ท่ามกลางความชุลมุนทำให้เขาไม่ได้สนใจฟังเสียงของซอมบี้ยึกหยึยสองคนและเจ้าหมวกแก๊ปแดง เพ่งความสนใจไปแต่ที่สาวหน้าเละและยัยยิ่งใหญ่คนนั้น
“ยังไงมันก็ผิดกฏโรงเรียนอยู่แล้ว นายเคไนน์ คีธ!! พาสาวน้อยไปทำแผลสิมิชก้า”
"งั้นก็ให้ทัณฑ์บนมาแล้วกัน" เคไนน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงต้องยอมรับความผิดโดยสดุดี
"ไปทำแผล" เหลือบมองหญิงสาวที่บาดเจ็บด้วยหางตา พร้อมกับสั่งเสียงแข็ง คงเพราะว่าเกร็งไปหน่อยเลยทำให้ดูเป็นอย่างนั้น
“เอ้อ ครับ มีอามากับผมนะ”
“อ.. อื้อ” สองคนนั้นพากันไปทำแผลแล้วจึงเหลือเพียงแค่เขาเองกับซอมบี้สาวคนนั้น
“แต่ทำลายคอมไปก็เท่านั้นแหละนะ คิดเหรอว่าข้อมูลจะอยู่แค่ในนั้น? นายเคไนน์ โดนลงโทษโดยการโดนขังให้ฟังเพลงจนเช้า!”
“....” ไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไรจึงได้แต่ยืนฟังนิ่งเงียบแล้วเก็บความแค้นไว้ในใจ ก็รู้อยู่หรอกว่ามีแบ็คอัพข้อมูลไว้ที่อื่นอีก ถึงได้ถามหาว่าสำรองข้อมูลเอาไว้ไหม แต่บทลงโทษให้ฟังเพลงจนถึงเช้ามันคืออะไร?
ไม่ทันไรก็มีซอมบี้ชายสองคนที่ดูเหมือนลูกกระจ๊อกเกรดบีในหนังคอเมดี้จับเขาสวมหูฟังที่เปิดดังจนไม่ได้ยินเสียงอื่นภายนอก
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
เสียงเพลงเนียงแคทอันคุ้นหูไม่ได้ทำให้เขาประสาทเสียมากนัก เพราะตอนที่เป็นซอมบี้ใหม่ๆ เขาก็เคยใช้บทที่วนลูปนี้ช่วยทำให้นอนหลับไปได้ในแต่ละคืน ถึงจะบอกว่าฟังดูงี่เง่าไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล
เคไนน์ถูกจับไปขังอยู่ในห้องแคบสักพักหนึ่งก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมาอย่างงงๆ
‘กำลังหลับดีๆ อยู่แล้วเชียว...’
แม้จะได้รับอิสระแต่ก็ยังต้องใส่หูฟังต่อไปจนถึงเช้าอยู่ดี...
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”
“เนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนียงเนียงเนี่ยง~ เนี่ยงเนียงเนียงเนี้ยงเนี่ยงเนี้ยงเนี่ยงเนียง~~”