top of page

Chapter I

-DOOMSDAY-

Nagomi - AmnesiA
00:0000:00

ปิ๊บ.. ปิ๊บ.. ปิ๊บ…

 

-----------------------------

U R G E N T

-----------------------------

.

.

.

.

 

          2 สิงหาคม 2016…

 

          “พี่ฮะ ผมอยากไปด้วย….. แค่กๆๆ” เสียงใสของเด็กชายตัวน้อยที่ตอนนี้ได้แหบพร่าไปด้วยฤทธิ์ของไข้หวัดฤดูร้อน เอ่ยทักท้วงเด็กหนุ่มอีกคนที่ตัวโตกว่ามือเล็กแทบจะไม่มีแรงรั้งชายเสื้อของผู้เป็นพี่ที่กำลังจะเดินจากไป โชคไม่ดีเลยที่เขามาป่วยไข้เอาแบบนี้ในวันหยุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการป่วยในต่างแดน

 

          “น่า... แป็บเดียวเดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว” เด็กหนุ่มผมเทาจำต้องยอมหันกลับมา มือเรียวที่กึ่งๆ กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ลูบผมน้องชายอย่างเอ็นดูพร้อมๆ กับนาบหน้าผากวัดไข้ไปด้วย “ถ้าอยากไปนายก็รีบๆ หายสิ” พูดแกมหยอกแต่ก็จริงที่ว่า หากอีกฝ่ายไม่ป่วยก็คงได้ไปเดินเล่นด้วยกันแล้ว

 

          “งี้ด~...”

 

          “รู้แล้วน่าแฟรงค์” เด็กหนุ่มหันไปดุเจ้าสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดตัวโตเต็มวัยที่ส่งเสียงงี้ดง้าดเร่งเร้าให้เขาพามันออกไปเดินเล่นไวๆ ฝ่ายคนก็รั้งฝ่ายหมาก็เร่งจะตามใจทั้งคู่คงเป็นไปไม่ได้ จำใจต้องเลือกสิ่งที่ควรทำกว่าก่อนซึ่งเขาก็เลือกเจ้าหมาเอาแต่ใจอย่างไม่ลังเล...

          “เดี๋ยวฉันมา” เขาแกะมือเล็กๆ ออกจากเสื้อพยายามไม่สนใจนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่มองอ้อนขอไปด้วย แล้วเดินนำเจ้าหมาไปที่ประตู “มาแฟรงค์ ไปเดินเล่นกัน”

.

.

.

 

{ นั่นเป็นครั้งสุดท้าย… ที่ฉันได้เจอกับฟีไลน์ }

.

.

.

 

          ประตูห้องนอนของบ้านพักตากอากาศถูกปิดลงอย่างเบาเสียง หนึ่งคนกับหนึ่งตัวก็ลงบันไดลงมาที่ด้านล่าง เคไนน์หยิบเอาสายจูงสุนัขออกมาติดให้กับเจ้าแฟรงค์ราวกับเป็นบังเหียนคุมม้า

 

          “น้องเป็นยังไงบ้างลูก” เสียงหวานๆ ของสตรีวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล แม้จะอยู่ระหว่างการพักร้อนต่างประเทศแต่หล่อนก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ของแม่บ้านที่ดี ผ้ากันเปื้อนสีขาวสวมทับกับชุดเดรสสีเขียวมะนาวเป็นภาพที่คุ้นชินตาแม้จะต่างสถานที่

 

          “ไข้ยังไม่ลดเลยครับ หวังว่าคงไม่ต้องไปโรงพยาบาลนะ” ถึงจะมีเงินรักษาแต่ก็ค่ารักษาพยาบาลมันแพงหูฉี่ส่วนมากถ้าหายาทานกันได้ก็ทานไปก่อน ทันใดนั้นปลายจมูกโด่งก็ได้กลิ่นหอมของอาหารจนต้องสูดกลิ่นฟุ้ดฟิ้ด

          “หอมจัง ทำอะไรน่ะครับ” ไม่พูดเปล่ายังเดินเข้าไปดูสิ่งที่เดือดปุดๆ อยู่ในหม้อใบใหญ่ คล้ายถูกมนตร์สะกดของขลุ่ยฮาเมลิน อันที่จริงก็พอจะเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าอะไร จะว่าเป็นพรสวรรค์ที่ถูกถ่ายทอดมาทางสายเลือดของพ่อครัวก็ได้ ‘เซาเออร์บราทสินะ’ และเมื่อไปดูก็ถูกเผ็ง

          เซาเออร์บราท คือ เนื้ออบชิ้นใหญ่ในหม้อเติมน้ำซุปลงไปเล็กน้อย แล้วใช้ไฟต่ำค่อย ๆ เคี่ยวให้เนื้อชิ้นโตเปื่อยนุ่ม ซอสแทรกซึมเข้าทุกอณูของเนื้อ มักจะทานคู่กับผักต้มและเส้นชเปทซ์เลอ เป็นเมนูโปรดของเด็กหนุ่มผมเทาเลยล่ะ

 

          “ของโปรดของเคนเลยนะเมนูนี้” ผู้เป็นแม่หัวเราะแผ่วเบาเมื่อเห็นใบหน้าของลูกชายคนโตดูจะดีใจเมื่อจะได้ทานของโปรด “จะพาแฟรงค์ไปเดินเล่นใช่ไหม? ...เนี่ย กลับมาก็ทันเสร็จพอดี”

 

          “งั้นผมรีบไปรีบกลับดีกว่า พาแฟรงค์ไปเดินเล่นแค่ห้านาทีพอ ฮ่ะๆๆ” เสียงแตกหนุ่มกล่าวล้อเล่นอย่างขบขันก็ได้ยินเสียงท้วงออกมาจากเจ้าสี่ขาตัวใหญ่ทันทีทันใด

 

          “หงุง..” จากคำล้อเล่นของเจ้านายเจ้าเยอรมันเชพเพิร์ดก็ส่งเสียงประท้วงออกมาราวกับว่ารู้ภาษามนุษย์

 

          “รู้แล้วน่าๆ ไม่ต้องเร่งหรอก” เคไนน์ตอบกลับมันไปแล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์ครัวตรงไปจับสายจูงสุนัขไม่ลืมหยิบจานร่อนไปด้วย ก่อนจะออกจากบ้านเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “พ่อยังไม่กลับมาหรอครับ?”

 

          “ยังเลยจ้ะ วันนี้เหมือนจะมีประชุมเรื่องการก่อสร้างร้านด้วยคงจะกลับมาพอๆ กับเคนกลับมานั่นแหล่ะ”

 

          “เห.. ถ้างั้นก็…..” ดวงตาสีเทาเต็มไปด้วยประกายแห่งชีวิตชีวาหรี่ลงมองอย่างเจ้าเล่ห์ แล้ววกกลับเข้ามาในตัวบ้านอีกครั้งตรงไปหอมแก้มผู้เป็นมารดาหนึ่งฟอด

          “พ่อไม่เห็นก็คงไม่หึงเนอะ ฮ่าๆๆๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจแล้วรีบวิ่งฉิวตัวปลิวออกมาก่อนที่ตะหลิวจะลอยมากระทบหัว

 

          “เดี๋ยวเถอะนะเจ้าลูกคนนี้ อายุสิบห้ายังร้ายขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” เฟนดี้ผู้เป็นแม่ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มปลงๆ ‘ถ้าไม่ไปเที่ยวหอมสาวที่ไหนก็คงดีล่ะ ไม่งั้นมีปัญหาแย่’

 

          “ทำแบบนี้ก็เพราะรักนะครับ คุณนายคีธ” ว่าจบก็ขยิบตาหว่านเสน่ห์ไปให้อีกหนึ่งที ก่อนจะจูงเจ้าแฟรงค์ออกจากประตูบ้าน “แล้วก็ฝากดูฟีไลน์ด้วยนาผมไปล่ะ”  

 

          ‘เพราะมีแม่อยู่ก็เลยไม่ต้องเป็นห่วงยังไงล่ะ….’

.

.

.

{ นั่นเป็นครั้งสุดท้าย… ที่ฉันได้เจอกับแม่ }

 

.

.

.

แกรก…

 

          ประตูไม้บานสวิงเหวี่ยงปิดลงไปช้าๆ จนได้ยินเสียงบานประตูประกบกันปิดสนิท เมื่อออกมาที่หน้าบ้านพักก็พบกับ ไครี่ หรือปู่ของเขากำลังทำกายบริหายของผู้สูงอายุอยู่ รู้สึกจะเรียกว่า ‘รำไทเก๊ก’

 

          “อ้าวไอ้เสือจะไปไหนล่ะนั่น?” เสียงผู้สูงวัยเอ่ยถามหลานชายคนโตขณะร่ายรำมวยจีน แม้ว่าไครี่จะอยู่ในวัยเกษียนแล้ว เส้นผมก็กลายเป็นสีดอกเลาขาวโพลนไปทั้งศีรษะ แต่ยังดูแข็งแรงดีอยู่สีหน้ายังดูแจ่มใสอีกด้วย ราวกับว่าท่านไม่ยอมแก่ตามวัย

 

          “พาเจ้านี่ไปเดินเล่นน่ะ มันอ้อนน่าดู… อ้อ ไครี่จะมาด้วยกันไหม?” เคไนน์ถามกลับไปสรรพนามเรียกชื่อแสดงถึงความสนิทสนม สำหรับเด็กหนุ่มแล้วปู่ของเขาเป็นทั้งปู่ เป็นทั้งอาจารย์ และก็เพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งในชีวิตของเขา ชื่อกลางของ ‘เคไนน์ ไครี่ คีธ’ ก็มาจากชื่อต้นของ ‘ไครี่ แกรเร็ท คีธ’

 

          “งั้นปู่ไปด้วย” ไครี่หยุดค้างท่าเมฆาล่อแก้วเอาไว้อย่างนั้นก่อนจะเดินตามหลานชายวัยสิบห้าไปเดินเล่นระแวกนี้ด้วยกัน

 

          อาคารบ้านเรือนของเมืองซีบรู๊คเป็นสีพาสเทลหวานแหววอย่างกับหลุดเข้ามาในดินแดนขนมหวาน ค่อนข้างจะแปลกตาแตกต่างจากสถาปัตยกรรมยุคกลางที่เนือร์นแบร์ก ไม่ใช่แค่ตึกรามบ้านช่องเท่านั้น ผู้คนในเมืองนี้ยังแต่งกายด้วยสีพาสเทลเหมือนตัวละครในหนังการ์ตูน

 

          ก่อนมาที่นี่ทางครอบครัวคีธได้รับการติดต่อจากหุ่นส่วนธุรกิจของซีบรู๊คมาว่า ‘ให้ใส่เสื้อผ้าได้เฉพาะสีพาสเทล’ ส่วนร้านอาหารที่พ่อมาลงทุนเปิดที่นี่ก็ต้องตกแต่งคล้ายร้านขนมหวานเช่นเดียวกัน พูดก็พูดเถอะขนาดคาเฟ่ที่เนือร์นแบร์กยังหาสีสดใสแบบนี้ได้ยากเลย แม้จะเคยถามไปว่าทำไมต้องมีแต่สีพาสเทลด้วยคำตอบที่ได้รับก็คือ ‘เพราะว่าที่นี่เขาไม่ใส่สีอื่นกัน’ ก็เลย… ‘เอาวะ พาสเทลก็พาสเทล’

 

          บ้านพักตากอากาศของครอบครัวคีธอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะซีบรู๊คเท่าไรเดินไปไม่เกินสิบนาทีก็ถึง ที่นั่นเหมาะสำหรับมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจกันทั้งคนและสุนัข แฟรงค์ก็ดูจะชอบที่นี่มากจนขอตื๊อให้พามาเดินเล่นทุกวัน

 

.

.

.

.

 

          “แฟรงค์รับนะ!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกเจ้าสุนัขอย่างสนุกสนาน ทำทีท่าว่าจะปาจานร่อนไปให้มันแต่ก็ปาไปให้ปู่ของเขาแทน

 

          “โฮ่ง!” สุนัขตัวใหญ่กระโดดหยองแหยงอยู่กับที่รอรับจานร่อนจากเจ้าของ แต่ก็ถูกหลอกด้วยลูกไม้เดิมๆ ถึงอย่างนั้นมันก็ยอมให้เจ้านายกลั่นแกล้งเหมือนทุกครั้ง สงสัยต้องรอให้คุณปู่ปาให้ดีกว่า

 

          “ฮ่าๆๆ เอ้าแฟรงค์ คราวนี้เอาจริงๆ แล้ว” ไครี่หัวเราะชอบใจใหญ่ที่ดูเจ้าสุนัขเลี้ยงวิ่งตามจานร่อนให้วุ่นแต่ไม่ได้คาบมาเสียที “ไปคาบมา!”

 

          จานร่อนสีฟ้าบินฉิวไปยังอีกฝากของสวนสาธารณะเจ้าสี่ขาก็วิ่งตามไปจนสุดกำลัง เคไนน์ถึงกับต้องยกมือป้องตาดูว่ามันปลิวไปตกลงตรงไหน “ไกลไปไหมเนี่ย...” จานร่อนปลิวไปตกอยู่ใกล้ๆ คนๆ หนึ่งที่หลบมุมอยู่แถวพุ่มไม้ เนื้อตัวมอมแมมทรุดโทรมเหมือนกับพวกโฮมเลส

 

          ไม่แปลก… ที่ไหนๆ ก็มีคนจรจัดที่มาอาศัยนอนในสวนสาธารณะดื่มน้ำก๊อกฟรีประทังชีวิต แต่ถ้าเจอบุคคลพวกนี้ก็ไม่น่าเข้าใกล้เพราะบางทีอาจจะถูกรีดไถหรือถูกปล้นได้ เขาเห็นเจ้าแฟรงค์หยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนๆ นั้นไม่ยอมเก็บจานร่อนแต่กลับขู่แฮ่ๆ ใส่แทน

 

          “อะไรน่ะ..? ดูเหมือนจะมีปัญหาแล้วนะไครี่”

 

          “นั่นสินะ เขาไม่ยอมคืนจานร่อนให้มันหรอ? เฮ้ย! แฟรงค์ กลับมา” ผู้เป็นปู่ป้องปากตะโกนเรียก แต่เจ้าสี่ขาก็ยังไม่ยอมกลับมา พวงหางลู่ตกใบหูก็พับไปด้านหลังเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการป้องกันภัย

 

          “ทำไมไม่ยอมมาเนี่ย เฮ้ย! แฟรงค์ กลับมานี่!!” เคไนน์ก็ตะโกนเรียกมันอีกแรงแต่เหมือนจะสูญเปล่าคงต้องไปลากตัวมันกลับมาแทน…

          “เอ่อ ขอโทษนะ เรามาเก็บจานร่อนน่ะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยเชิงขออนุญาตแบบไม่เป็นทางการนักแล้วตรงเข้าไปเก็บจานที่อยู่ใกล้ๆ เท้าของโฮมเลส ‘แหวะ!.. เหม็นชะมัด หมอนี่ไม่ได้อาบน้ำมากี่วันเนี่ย!’

 

          กลิ่นตัวของอีกฝ่ายฉุนกึกอันที่จริงมันไม่เหมือนกับกลิ่นตัวนักแต่เหมือนกับกลิ่นของขยะหรือว่าตัวอะไรตายมากกว่า เขาได้แต่ยู่จมูกแล้วก็ถอยออกมาเพราะไม่อยากจะมีเรื่องกับคนท้องถิ่น

{ Click Play เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน }

 

ปิ๊บ.. ปิ๊บ.. ปิ๊บ…

 

-----------------------------

U R G E N T

-----------------------------

 

ปิ๊บ.. ปิ๊บ.. ปิ๊บ…

 

          ‘เสียงอะไร?’

 

          คิดได้ไม่เท่าไรชายไร้บ้านผมเขียวคนนั้นก็มีอาการแปลกๆ เขาทรุดลงพร้อมกับพยายามทำอะไรบางอย่างกับนาฬิกาข้อมือ “อั่ก!”

 

          “!!?!!” เด็กหนุ่มที่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นมาสะดุ้งโหยงกับท่าทีประหลาดของคนๆ นั้น ส่วนเจ้าแฟรงค์ก็ยิ่งกรรโชกเห่ายิ่งกว่าเดิม

 

          “โฮ่ง!! โฮ่ง!!! แฮ่!!!!! กรรรร”

 

          “เฮ้ย! แฟรงหยุดได้แล้ว!” ไครี่ดุมันเสียงดังแล้วเอ่ยถามคนจรจัดคนนั้นน้ำเสียงตระหนกไม่แพ้กัน “Are you OK?”

 

 

ปิ๊บ.. ปิ๊บ.. ปิ๊บ…

 

          “อั่ก! อ๊าก!!!” ร่างนั้นทรุดลงกับพื้นกระเสือกกระสนอย่างดูทรมาณทุรนทุราย เด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ หน้าถอดสี

 

          “เป็นอะไรน่ะ!? โรคหัวใจ!?!” เคไนน์พยายามรวบรวมสติเอาไว้แล้วกดเบอร์ฉุกเฉินโทรเรียกรถพยาบาล ปลายสายรับเรื่องอย่างรวดเร็วแต่เสียงสนทนาเป็นภาษาอังกฤษที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคย

          ‘Scheiße… ภาษาอังกฤษพูดยังไงวะ!’ ตอนนี้คงได้แต่งูๆ ปลาๆ ไปก่อน “Emergency case at Seabrook Park HURRY UP!!” ใช้คำง่ายๆ บอกข้อความฝ่ายเจ้าหน้าที่รับสายไป ได้ยินปลายสายทวนข้อความมาก็น่าจะถูกต้องแล้วจึงกดตัดสายทิ้งไป แล้วรีบเข้าไปดูอาการของผู้ป่วยทันที

 

ปิ๊บ.. ปิ๊บ.. ปิ๊บ…

 

          “Hey! Are you OK!?” เด็กหนุ่มจับชายไร้บ้านคนนั้นนอนลงกับพื้นหญ้าแต่อีกฝ่ายมีท่าทีขัดขืด พยายามโบกไม้โบกมือไล่แต่เหมือนคอของเขาจะแข็งจนพูดไม่ออกดวงตาอีกฝ่ายเหลือกขึ้นด้านบนอย่างน่ากลัว

          ‘อาการชัก!? ต้องทำยังไง?’ ตั้งข้อสันนิษฐานจากสภาพที่พบเห็นอย่างรวดเร็ว หลับตานึกวิธีการปฐมพยาบาลตามที่เคยเรียนมา ก่อนอื่นก็ต้องช่วยปลดเสื้อออกก่อนให้หายใจได้สะดวกในตอนนี้เขาไม่นึกรังเกียจกลิ่นเหม็นอีกต่อไปเพราะชีวิตมนุษย์ย่อมมาก่อน แต่ก็ต้องแปลกใจกับร่างกายของอีกฝ่ายที่เริ่มเขียวเหมือนเนื้อเน่าและมีเส้นเลือดปูดโปนเต็มทั้งร่างกาย

 

          “นี่มันอะไรน่ะ!?” ไครี่เองก็ดูจะตกใจไม่แพ้หลานชายกับสภาพกายที่ทุรนทุรายจวนจะรอมร่อ

          “ปู่ไปตามคนมาช่วยเพิ่มดีกว่า!” ว่าจบชายชรากำลังวังชาดีก็รีบวิ่งไปหาคนแถวนั้นให้เข้ามาช่วยเหลือทันที

 

          “โฮ่ง!!ๆๆๆ” เสียงเห่าของแฟรงค์ยังคงระงมไม่หยุดเป็นจุดสนใจให้ชาวเมืองที่อยู่ระแวกนั้นเริ่มเข้ามามุงดู ไม่นานไครี่เองก็กลับมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งด้วย

 

          “โว้ย!! แฟรงค์ แกอย่าเพิ่งเห่าได้ไหม หนวกหู!!!คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มที่โวยวายออกมาบ้าง ไหนจะเสียงนาฬิกาปลุกและไหนจะเสียงสัตว์เลี้ยงที่เห่าล้อกันอยู่อีก จนตอนนี้เขาเริ่มที่จะสติแตกอยู่รอมร่ออยู่แล้ว มือเรียวก็พยายามหาวิธีปิดเจ้านาฬิกาข้อมือหน้าปัดสีส้มที่ร้องระงมหรืออย่างน้อยก็ถอดมันออกมาก่อนไม่ให้ผู้ป่วยอึดอัดมากนัก

          “ว้อย!! ทำไมมันถอดยากถอดเย็นอย่างนี้วะ!!”

 

ปิ๊บ.. ปิ๊บ.. ปิ๊บ…

 

-----------------------------

O F F L I N E

-----------------------------

 

ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ!
ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ!

 

          หน้าปัดนาฬิกานั้นกลายเป็นสีแดงคามือของเขาและยิ่งส่งเสียงร้องดังถี่ขึ้น… นี่มันไม่ใช่เสียงของนาฬิกาปลุกแต่เหมือนสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างมากกว่า เห็นแบบนั้นชาวบ้านซีบรู๊ครู้ดีว่ามันคืออะไร มีแค่คนต่างถิ่นอย่างสองปู่หลานที่ไม่เข้าใจ

 

          “Run!” เสียงใครบางคนตะโกนบอกให้วิ่งหนี เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับไปชาวบ้านก็แตกกระเจิงไปกันคนละทิศละทางเหมือนกำลังหนีสัตว์ประหลาดในหนังเกรดบี ทิ้งไว้เพียงแค่เขากับปู่ให้งงกันสองคน

 

          “หะ.. อะไ---” พูดยังไม่ทันจบประโยคเคไนน์ก็รู้สึกถึงแรงเหวี่ยงมหาศาลกระชากแขนของเขาให้ล้มลงไปกองกับพื้น รู้สึกตัวอีกทีชายคนนั้นก็ขึ้นมาคร่อมอยู่บนร่างอย่างรวดเร็ว

 

          “เฮ้ย!!!!” ปู่กับหลานส่งเสียงร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียง เคไนน์พยายามจะดันชายคนนั้นให้ออกไปจากตัวแต่ก็เหมือนแรงมดสู้กับแรงช้าง ไม่เพียงแต่ไม่สะเทือนชายจรจัดคนนั้นยังทำท่าทางแปลกๆ อีกด้วย นั่นคือพยายามที่จะกัดเขา มือซ้ายที่ยกขึ้นมากันเป็นแผลเปิดเปิงไปหมด เนื้อหนังของเขาหลุดติดฟันของอีกฝ่ายที่เข้ามากัดทำร้ายเป็นหมาบ้า เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นชโลมทั่วพื้นหญ้า

 

          “โอ๊ย!!!” นัยน์ตาเทาเบิกโพรงด้วยความตกตะลึง ใบหน้าตระหนกเผือดกลายเป็นสีซีด

 

          ‘นี่มันเหมือนกับ… ซอมบี้!?!!’

 

          “เฮ้ย!! แกทำอะไรหลานชายฉัน!!” ไครี่เข้ามาช่วยดึงผู้ป่วยผมเขียวที่บัดนี้กลายเป็นผู้ก่อการร้ายไปแล้ว “แฟรงค์ กัดมัน!!!”

 

          พอจะได้โอกาสที่เคไนน์คลานหนีออกมา มือข้างซ้ายที่ถูกกัดหลายแผลเจ็บจนแทบจะยกไม่ขึ้น ไม่รู้ว่ามีเส้นเอ็นขาดด้วยหรือเปล่าแต่ดูสภาพแล้วเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือน่าจะมีปัญหาจึงทำให้เลือดไหลออกมาไม่หยุด ยังพอจะมีสติหยิบผ้าเช็ดหน้ามาพันห้ามเลือดเอาไว้

 

วูบ…

 

          เด็กหนุ่มเซล้มลงไปอีกครั้ง ถึงจะถูกกัดที่ข้อมือแต่ว่าเขาเสียเลือดมากจนหน้ามืด ถึงกระนั้นก็กัดฟันพยายามประคองสติเงยมองภาพตรงหน้า และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้าย

 

กร๊วบ!!

 

          เสียงฟันคมบดกับเนื้อต้นคอเหมือนกับกินน่องไก่ดังขึ้น ภาพตรงหน้าทำให้ดวงตาสีเทาที่พร่ามัวค่อยๆ เบิกขึ้นช้าๆ ซอมบี้กินมนุษย์กัดกระชากลำคอของไครี่จนเหวอะหวะ ร่างกายชราภาพชักกระตุกสองสามครั้งก่อนที่จะทรุดตัวลงนอนแน่นิ่งกับพื้น

 

          “ไครี่… ไม่!!หยาดน้ำใสๆ เอ่อล้นที่ขอบตาทะลักไหลลงอาบสองแก้ม สติของเด็กหนุ่มหลุดลอยไปโดยสมบูรณ์กับภาพที่สะเทือนขวัญ ซอมบี้คนนั้นกำลังฉีกกินร่างคุณปู่ของเขาอยู่!!

 

          เสียงร้องของเด็กหนุ่มดึงความสนใจของซอมบี้กลับมาอีกครั้ง มันค่อยๆ ทรงตัวยืนโอนไปเอนมาคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ ทว่าเนื้อตัวของเคไนน์สั่นเทาไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อนเคลื่อนหนีไปไหนได้

 

          “กรรร!!!!” แฟรงค์กัดขาซอมบี้คนนั้นลากยื้อเอาไว้จมเขี้ยวเลือดแห้งกรังติดปากของมันเต็มไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าแรงสุนัขก็จะสู้แรงซอมบี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

          ‘ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาตรงหน้า’

 

          ใครว่าก่อนตายภาพความทรงจำจะไหลแล่นเข้ามาในหัว ไม่จริงเลย ตอนนี้มีแค่ความว่างเปล่าและสีแดงฉานของโลหิต…

 

.

.

.

 

ปัง!! ปัง!!! ปัง!!!!

ปัง!! ปัง!!! ปัง!!!!

ปัง!! ปัง!!! ปัง!!!!

 

          เสียงกระสุนสังหารเก้านัดดังลั่นสวนสาธารณะซีบรู๊ค ทะลุร่างของซอมบี้ที่อยู่ห่างตรงหน้าไปไม่กี่คืบ มันล้มทับลงมาบนตัวของเขาโดยเด็กหนุ่มที่ช็อคค้างไม่มีทีท่าจะผลักออก

 

          “เคลียร์!” หน่วยรักษาความปลอดภัยค่อยๆ กรูกันเข้ามาด้วยอาวุธปืนครบมือ หนึ่งในนั้นผลักเอาร่างที่ไร้สัญญาชีวิตออกไปและเขย่าเคไนน์เพื่อเรียกสติ พยายามพูดอะไรบางอย่างกับเด็กหนุ่มแต่ตอนนี้เขาหูตามืดบอดไปหมด แม้จะยังมีชีวิตอยู่แต่ก็ไร้การตอบสนองไม่ต่างจากตุ๊กตารูปทรงมนุษย์

 

          นัยน์ตาเทาที่เคยมีแววสนุกสนานบัดนี้กลับไร้แววของความสดใส ค่อยๆ ปรือปิดลง ถึงกระนั้นภาพร่างไร้วิญญาณของบุคคุลที่รักก็ยังจงประทับอยู่ภายใต้เปลือกตา

 

          ‘เจ็บ’

 

          ‘กลัว’

          ‘นี่มันเรื่องบ้าบออะอะไร?’

          ‘ฉันกำลังจะตายใช่ไหม?’

          ‘หายใจไม่ออก...’

          ‘พอแล้ว… ให้ฉันตายไปอีกคนเถอะ...’  


 

{ นั่นเป็นครั้งสุดท้าย… ที่ฉันได้เจอแฟรงค์กับไครี่ }


 

.

.

.

.

 


 

ปิ๊บ.. ปิ๊บ.. ปิ๊บ…

 

          เปลือกตาอันอ่อนล้าค่อยๆ ลืมตื่นขึ้นมามองเพดานห้องสีขาว แต่มีอะไรบางอย่างครอบอยู่บนใบหน้า แม้อยากจะดึงมันออกไปเท่าไรแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่กระดิกนิ้ว

 

          “คุณคีธ เราต้องแสดงความเสียใจด้วย ลูกชายคุณติดเชื้อ แต่เรายังรักษาชีวิตของเขาได้ด้วยการใส่ซีแบนด์ และจำเป็นต้องกักตัวเขาเอาไว้ในเขตกักกันของเรา ….ห้ามให้มนุษย์เข้าไป”

 

          เสียงของใครบางคนที่ไม่คุ้นหู พูดภาษาอังกฤษที่เข้าไม่ค่อยเข้าใจดังออกมาจากอีกฟากหนึ่งของห้องที่กระจกคาร์บอนกั้นขวางอยู่ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นที่ด้านนอกว่าใครกำลังคุยอะไรกัน

 

          “ให้พวกเราเจอกับเขาอีกสักครั้งเถอะหมอ!” อีกเสียงก็ดังขึ้นเป็นเสียงผู้ชายที่คุ้นหูมาก แต่สมองอื้ออึงนึกไม่ออกว่าเป็นใคร

 

          ไม่ใช่แค่นั้นร่างกายเขาก็รู้สึกหนักเหลือเกินที่ขยับได้ก็มีแต่ดวงตา เมื่อเหลือบมองลงด้านล่างก็เห็นว่ามือพันผ้าพันแผลเต็มไปหมด แล้วยังมีนาฬิกาแบบเดียวกับที่ชายจรจัดที่สวนสาธารณะใส่แต่แตกต่างกันตรงที่นาฬิกาของเขามีหน้าปัดเป็นสีเขียว เมื่อเห็นมันภาพความทรงจำอันเลวร้ายก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งจนทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน

 

          “ฮึก!!”

 

          “ส่วนสุนัขของคุณ เอ่อ… เราก็ต้องเสียใจด้วย มันติดเชื้อและคงต้องกำจัดทิ้งนะครับ”

 

          ‘แฟรงค์… ไครี่...’

 

          นึกถึงใบหน้าอันเลือนลางของใครบางคนน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง และภาพทั้งหมดก็มลายหายไป…

 

{ และนั่นเป็นครั้งสุดท้าย… ที่ฉันได้เจอพ่อ } 

{ แถมยังได้ยินแค่เสียงอีกด้วย }

 

.

.

.

.

To Be Continued....

bottom of page