top of page

Diary I

-Hakuna Matata Diary-

Unknown Track - Unknown Artist
00:0000:00

======================================

 

หากฟากฟ้านี้เชื่อมต่อกัน

ฉันก็อยากจะให้นายเห็นทิวทัศน์เดียวกันกับฉัน

- Kanine Kyrie Keith -

 

======================================


 

          วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2018 เวลา บ่ายโมง...

          บานประตูไม้อันทรุดโทรมของห้อง ZD2-205 ถูกเปิดออก และเมื่อร่างหนึ่งของซอมบี้หนุ่มตัวสูงใบหน้าไม่รับแขกเข้าไปมันก็ถูกปิดลงโดยใช้ขาถีบยันประตูให้ปิดแทนใช้มือ

 

          ‘เหนื่อยเป็นบ้า’

 

          เคไนน์เหวี่ยงกระเป๋าสัมภาระลงบนชั้นวางของๆ ตัวเอง ผิดวิสัยชายระเบียบจัดที่คอยจัดการห้องพักให้สะอาดอยู่เสมอ ‘เดี๋ยวค่อยจัด’ ความเพลียบวกกับความปวดเนื้อปวดตัวทำให้เขาพาตัวเองขึ้นไปนอนแหมะอยู่บนเตียงชั้นสอง หยิบมือถือมาค่อยๆ ไล่ตอบเคลียร์ข้อความที่ส่งมาหา ความจริงก็จากคนๆ เดียวกันนั่นแหล่ะ

 

          =(ΦFωLINEΦ)= : เคน เป็นไงบ้าง ถึงค่ายหรือยัง? 

          =(ΦFωLINEΦ)= : ไม่มีสัญญาณหรอ? 

          =(ΦFωLINEΦ)= : ฮาโหลววว 

          =(ΦFωLINEΦ)= : ตอบหน่อยซี่ 

          =(ΦFωLINEΦ)= : เหงาอ่ะ………... 

          =(ΦFωLINEΦ)= : นี่ไม่ได้เป็นอะไรไปใช่ไหม 

          =(ΦFωLINEΦ)= : เคนนนนนนนนนนนน 

 

          และสติ๊กเกอร์มากมายที่ส่งเข้ามาหารวมๆ แล้วเป็นร้อยข้อความ…

          เส้นเลือดที่ขมับของชายหนุ่มปูดขึ้นมาอย่างน่าชวนหัว ใช้เวลาอยู่นานเป็นนาทีกว่าจะย้อนอ่านหมดจนถึงปัจจุบัน

          ‘นี่ฉันต้องมานั่งไล่ดูสติ๊กเกอร์ของนายหรือไงวะ!!’

          มือแกร่งกำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นข้อความเด้งขึ้นมาตัดหน้า

          =(ΦFωLINEΦ)= : อ่านแล้ว! มีสัญญาณแล้วใช่ไหม!?

          พร้อมสติ๊กเกอร์แมวตกใจที่ส่งมาหาอีกสองสามอัน จนชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงรีบกดลบข้อความที่กำลังพิมพ์ไป กดพิมพ์ใหม่ด้วยความหงุดหงิดไปก่อนที่อีกฝ่ายจะรัวสติ๊กเกอร์มามากมายกว่านี้

          K-9 : พอ

          K-9 : ไม่ได้คุยกับฉันสักวันสองวันมันจะตายไหม?

          =(ΦFωLINEΦ)= : ง่ะ... 

          =(ΦFωLINEΦ)= : ก็เป็นห่วงนี่นา 

          =(ΦFωLINEΦ)= : ไม่ตายหรอก แต่ไม่สบายใจเลย 

          =(ΦFωLINEΦ)= : คอลกันหน่อยนะ 

 

          “เฮ้อ...” ลมหายใจพรั่งพรูออกมาแผ่วเบา ‘ช่วยไม่ได้’ ถึงซอมบี้หนุ่มจะโหดร้ายแต่ก็ใจร้ายกับน้องชายไม่ลง ฟีไลน์เป็นญาติเพียงคนเดียวคอยอยู่กับเขาเสมอตลอดสองปีที่ไม่ได้เจอกัน เขาไม่ได้พิมพ์ข้อความใดๆ ตอบกลับไปแต่สลับแอพพลิเคชั่นที่สะดวกวีดีโอคอลหาทันที

 

          เสียงเรียกเข้าดังไม่ถึงวินาทีเลยด้วยซ้ำก็ถูกกดรับอย่างว่องไว ใบหน้าของเด็กหนุ่มชาวเยอรมันที่ปลายสายดูเริงร่ากว่าทุกวัน เหมือนว่าดีใจได้รับของขวัญจากซานตาคลอสอย่างไรอย่างนั้น

          

          “แค่ฉันคอลมา ดีใจขนาดนั้นเชียว?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม มองใบหน้าดีใจของน้องชายที่แทบจะแกะพิมพ์เดียวกันมากับเขาตอนที่อายุเท่ากัน ต่างกันแค่ฟีไลน์สีผมอ่อนกว่า และมีดวงตาเจือสีฟ้าน้ำทะเลเหมือนแม่ ไม่เหมือนเขาที่มีนัยน์ตาสีเทาเข้ม

 

          “อื้อ ดีใจสิ ก็ไม่ได้คุยกันตั้งสองวันนี่นา” เด็กน้อยที่ปลายสายขยับหามุมตั้งดีๆ ดูแล้วก็น่าจะคุยกันบนเตียงเช่นกัน “เล่าให้ผมฟังหน่อยสิฮะ ไปแคมป์มาเป็นไงบ้าง?”

          “ก็งั้นๆ ล่ะ มีกิจกรรมให้ทำนิดหน่อย แต่เหนื่อยเป็นบ้า” เคไนน์พูดรวบรัดตัดความ ด้วยความเหนื่อยล้าทำเอาเขาขี้เกียจจะเล่าทั้งหมดให้ฟัง

 

          “ง่ะ มีแค่นี้หรอ? เล่าทั้งหมดเลยไม่ได้หรอฮะ? นะๆๆๆ” นัยน์ตากลมใสเอ่ยถาม ทำหน้าเว้าวอนขอฟังสุดฤทธิ์ เห็นแบบนี้ร่างสูงก็ได้แต่จิ๊ปาก ถ้าไม่ยอมเล่าก็คงถูกตื๊ออยู่แบบนั้น

          “ชิ! ก็ได้ งั้นเอาจากไหนดีล่ะ.....” เคไนน์หลับตานึกภาพย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน แล้วจึงค่อยๆ เล่าเรื่องราวการผจญภัยในป่าใหญ่ทั้งหมดออกมา โดยปลายสายทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี

          “ตอนนั่งรถฉันหลับไปตลอดทางเลยไม่รู้ว่าโรงเรียนพาไปที่ไหนแฮะ แต่พอไปถึงก็มีการจับกลุ่ม ฉันอยู่กลุ่มหมูป่า ในกลุ่มมีวอลตันกับเมอร์ฟีที่เคยเล่าให้ฟังด้วย แล้วก็ซอมบี้ทรงผมประหลาดอีกคนหนึ่ง ช่างมัน ฉันไม่ได้สนใจหมอนั่นมากนัก”

 

          “งั้นก็ดีเลยสิครับ ได้อยู่กับเพื่อนด้วย โล่งอกไปที” ฟีไลน์แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินว่าพี่ชายของเขาอยู่กับคนที่คุ้นเลยและไม่ลำบากใจ

 

          “อาฮะ พอแบ่งกลุ่มเสร็จก็กินอาหารกลางวัน… รู้สึกว่ามื้อนั้นจะเป็นสปาเก็ตตี้นะ ก็แค่อาหารกล่องรสชืดๆ แค่พอประทังหิวไปได้” แอบบ่นอุบออกมาตามประสาผู้ที่เคร่งเรื่องอาหาร แต่ก็ไม่ได้ถือสาเอาความมากนัก ไปอยู่ในป่าแล้วได้ทานสปาเก็ตตี้ก็ดีถมถืดเท่าไรแล้ว นึกถึงวันนั้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้วสิ แต่นั่นก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนกล้าหาญไม่หวั่นกล้วสิ่งใดๆ เลยก็ได้

          “พอกินมื้อเที่ยงเสร็จก็มีเข้าฐาน ฐานแรกเป็นไต่เชือกข้ามแม่น้ำ ไม่มีอะไรยาก”

 

          “โอ้โห! ไต่เชือกข้ามแม่น้ำแบบอินเดียน่าโจนส์น่ะหรอ เท่ไปเลย!!” ฟีไลน์ร้องว้าวออกมาเมื่อได้ยิน นึกภาพตามว่าพี่ชายของเขาใส่ชุดนักผจญภัยแล้วรู้สึกว่าเท่มาก การผจญภัยเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มรัก ถ้าไม่ต้องมารับช่วงกิจการที่บ้านแทนไปก่อน… “แล้วในน้ำมีจระเข้หรือเปล่าฮะ?”

          ได้ยินจินตนาการแบบเด็กๆ เคไนน์ก็เบ้หน้า...

          “จะไปมีได้ไง ใครตกลงไปก็ได้ตายกันน่ะสิ แต่ง่ายๆ แบบนั้นมันก็ไม่มีใครตกลงไปอยู่แล้วล่ะนะ” ถ้าแค่ไต่เชือกแล้วตกน้ำไอ้หมอนั่นคงอ่อนหัดมากๆ

          “แล้วพอข้ามแม่น้ำได้ก็เป็นฐานมุดโพรง...” พอนึกถึงตรงนี้ก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง จนคำรามฮึมฮัมในลำคอ

 

          “เอ๋ อะไรฮะ? มีอะไรหรือเปล่า?” มองดูพี่ชายที่ทำหน้าโกรธก็ใจไม่ดี หรือในนั้นจะมีสิ่งที่น่ากลัว อย่างเช่น งู หนอน แมงมุม หรือผี

 

          “ก็คนเตรียมงานน่ะสิ เอาเฉาก๊วยกับลอดช่องมาราดบนพื้น แบบนั้นมันเสียของนะเว้ย!!!” โวยออกมาจนคนที่คุยด้วยสะดุ้งเฮือก

          “จริงด้วยฮะ” เด็กหนุ่มได้แต่รับคำเบาๆ พยักหน้าขึ้นลงหงึกหงัก เพราะที่บ้านสอนมาว่าไม่ให้เล่นของกิน คงเป็นเรื่องที่ครอบครัวนักทำอาหารรับไม่ได้ “แล้วยังไงต่อหรอฮะ?”

          “อา… พอออกจากฐานที่สองได้แล้วต่อไปก็ปีนหน้าผา บนนั้นมีลิงเกเรกับนกกวนตีนอยู่ด้วย” เคไนน์เล่าแบบไม่มีการเซ็นเซอร์คำพูดแม้แต่น้อย เหมือนไม่กลัวว่าน้องชายวัยเยาว์จะซึมซับเอาความดิบเถื่อนเข้าไปเลย

 

          “โห.. มีลิงเกเรกับนกกวนตีนด้วย” ผู้เป็นน้องก็เอ่ยทวนตามโดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคำหยาบหรือสิ่งที่ไม่น่าพูด จินตนาการตามยิ่งรู้สึกเท่เข้าไปใหญ่

          “พี่ก็จัดการลิงเกเรกับนกกวนตีนได้ใช่ไหมฮะ!” เสียงใสถามอย่างตื่นเต้น จินตนาการภาพในหัวว่าพี่ชายตนเป็นฮีโร่ต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดร้ายด้วยท่าทางสุดเท่เหมือนพระเอกหนังแอคชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อม

 

          “เปล่า แค่ไล่มันก็ไป” คำพูดเหมือนจะดับฝันจินตนาการเด็กอยู่หน่อยๆ ทำเอารอยยิ้มกว้างค่อยๆ หุบลงแล้วหัวเราะแหะๆ แต่มันก็ตรงตามนั้นแหล่ะ “อ้อ ลืมบอกไปว่า ตอนผ่านแต่ละฐานจะได้อุปกรณ์ทำธงมาด้วย ฐานแรกได้เชือก ฐานที่สองได้ผ้า ฐานที่สามได้ไม้”

          “ถึงแค่ไล่แต่ก็ยังเท่อยู่ดีนั่นแหล่ะ เคนสุดยอด!”

          “ก็จริงนะ ที่นายพูดก็ถูก ฉันเก่งจริงๆ นั่นแหล่ะ” ซอมบี้หนุ่มรับคำโดยไม่มีปฏิเสธ ไม่ได้ดีใจอะไรนักเพราะเป็นสิ่งที่เขารู้ดีอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกชม “ฐานสุดท้ายกระโดดหอ เหมือนที่เคยไปเล่นที่ออสเตรเลียนั่นแหล่ะ แบบนั้นเป๊ะ น่าจะสนุกที่สุดแล้ว”

 

          “โอ้โห มีโดดหอด้วยหรอฮะ! ผมอยากไปด้วยเลย” ปลายสายตาวาวเป็นประกาย แต่เมื่อคราวที่ไปเที่ยวคราวนั้นเขาอายุไม่ถึงพอที่จะกระโดดหอเนี่ยสิเลยไม่รู้ว่าของจริงเป็นยังไง

 

          “อืม ใช่ แล้วก็จบ ได้สีมาวาดธง” ชายหนุ่มเว้นช่วงพูดไปเล็กน้อย จากนั้นก็สลับหน้าจอกดส่งรูปไปเลยจนอีกฝ่ายงง แต่ก็รู้ตัวได้เมื่อมีข้อความเตือนเด้งขึ้นมา

 

          K-9 : 

          

 

 

 

 

          =(ΦFωLINEΦ)= : โหวเท่จัง! 

          K-9 : ฉันออกแบบธงเอง ไม่ยอมเป็นหมูป่าโง่ๆ หรอกนะ 

          =(ΦFωLINEΦ)= : เคนสุดยอด!! 

          =(ΦFωLINEΦ)= : เหมือนออร์คเลย 

          K-9 : ออร์ค? 

 

          “เหมือนออร์คเนี่ยนะ?” เสียงเข้มถามที่ปลายสายทันทีที่เขาสลับหน้าจอกลับมา

 

          “ฮะ มีเขี้ยวเหมือนออร์คเลย แต่ว่า.. เคนไม่เคยวาดรูปให้ดูเลย”

 

          “อืม.. ฉันก็ไม่เคยวาดรูปจริงๆ แหล่ะ ไม่นึกเลยแฮะว่าฉันนี่ก็วาดรูปเก่งเหมือนกันนะ ฮ่ะๆๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิ แม้จะไม่ได้สวยงามสมกับหมูป่าตัวจริงสักเท่าไร แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าพอมีฝีมือในด้านนี้อยู่บ้าง

          “งั้นก็วาดรูปให้ผมดูหน่อยสิฮะ” เสียงใสยังคงอ้อนอยู่เหมือนเคย แต่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาแบบไม่ถนอมน้ำใจ

 

          “ไม่ล่ะ ขี้เกียจ” ชายหนุ่มเว้นช่วงไปเล็กน้อยแล้วจึงเล่าเรื่องต่อ “ตอนกลางคืน คืนแรกก็ไม่มีอะไรมากมาย แค่ต้องอยู่เฝ้าไม่ให้ธงหาย”

          “เห.. อยู่เฝ้าไม่ให้ธงหาย?” เหมือนเด็กชายจะไม่เข้าใจเท่าไรจนพี่ชายต้องขยายความต่อให้

 

          “ตอนกลางคืนจะมีกลุ่มอื่นมาแกล้งขโมยธง ถ้าไม่เฝ้าไว้แล้วทำหายจะถูกลงโทษ” พอพูดประโยคจบก็ได้ยินเสียงอ๋อออกมายาว “ถึงจะอดนอนแต่ก็คุ้มนะที่ได้เฝ้า… อืม คืนนั้นมีซูเปอร์บลัดมูนด้วยนี่”

          “จริงด้วยฮะ ดีจัง เคนก็ได้ดูหรอ ผมน่ะ ตั้งเวลาปลุกเอาไว้แต่ดันไม่ตื่นขึ้นมา แย่จัง” เสียงปลายสายหงอยลงไปทันที

 

          ก็เพราะว่าฟีไลน์น่ะชอบเรื่องแบบนั้นมาก ธรรมชาติ การผจญภัย ได้เห็นโลกกว้าง ได้เห็นอะไรใหม่ๆ แต่ก็น่าแปลก อีกฝ่ายตั้งเวลาปลุกขึ้นมาตอนตีสองตีสามเพื่อคุยกับเขาได้แทบทุกวัน แต่ไฉนเลยจึงไม่ตื่นขึ้นมาตอนที่จะดูจันทรุปราคา หรืออาจจะเพลียสะสมหลังจากที่ต้องอดนอนมาหลายคืนติดต่อกันเป็นปีๆ

          ‘หากฟากฟ้านี้เชื่อมต่อกัน ฉันก็อยากจะให้นายเห็นทิวทัศน์เดียวกันกับฉัน’

 

          “หรอ งั้นนายก็พลาดแล้วล่ะ เห็นข้อมูลบอกว่าเป็นจันทรุปราคาที่นานที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปีด้วยนะ” พูดแกล้งยั่ว สลับหน้าจอส่งรูปถ่ายคืนนั้นไปให้ดูอีกครั้ง
 

          K-9 :

 

 

 

 

 

 

 

          =(ΦFωLINEΦ)= : โห ฟ้าสวยจัง 

 

          เคไนน์สลับจอกลับมาคุยเหมือนเดิมโดยไม่ได้สนใจอีกว่าน้อยชายจะพิมพ์อะไรกลับมา

          “แต่ตอนบลัดมูนไม่ได้ถ่าย เหมือนว่ากล้องฉันจะถ่ายไม่เห็นแฮะ” เคไนน์ไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อย “ภาพบางอย่าง เก็บไว้เป็นแค่ความทรงก็ดีเหมือนกัน”

 

          “อื้ม จริงด้วยสินะฮะ” เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงแห้งอย่างเสียดาย

          “พอวันรุ่งขึ้นก็ตื่นเช้ามา มีวิทยากรมาอบรมเรื่องการใช้ชีวิตในป่า แต่ฉันไม่ได้ฟัง ทดเวลานอนเมื่อคืนไป” อันที่จริงเขาก็ท่องเที่ยวตั้งแคมป์เข้าป่าบ่อยอยู่แล้ว ความรู้ที่อบรมมามันมีอยู่ตั้งแต่แรก ไม่ฟังก็ถือว่าไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องไปนักหรอก “ตอนบ่ายก็เข้าป่าหาวัตถุดิบหาอาหารทำกินกัน”

 

          “จริงสิฮะ! งี้ก็ต้องล่าสัตว์ด้วยสิ!” เสียงปลายสายจากหงอยๆ ที่ไม่ได้ดูพระจันทร์กลับตื่นเต้นขึ้นมาทันที จินตนาการของเด็กน้อยคงไม่พ้นการผจญภัยของอินเดียน่าโจนส์อีกนั่นแหล่ะ

 

          “ไม่อ่ะ.. มีเจ้าหน้าที่เอาของมาให้ ก็แอบเบื่อเหมือนกัน นึกว่าจะหาอะไรก็ได้มาทำกินเอง เขาคงกลัวว่าไปเก็บเห็ดพิษมาทำแล้วตายกันทั้งกลุ่มมั้ง”

          “ว้า.. จริงด้วย แต่ก็ยังดีนะฮะที่ได้เข้าป่า แล้วกลุ่มเคนทำอะไรกันหรอ?”

 

          “กลุ่มฉันได้ เนื้อบ้องตัน ข้าวสาร เนื้อไก่ และมะเขือเทศ ดูดิ ได้เนื้อจระเข้มาชนกับเนื้อไก่เนี่ยนะ! อย่างน้อยขอผักใบเขียวไม่ได้ไงวะ!” เคไนน์แอบอารมณ์ขึ้นอยู่หน่อยๆ ที่ได้วัตถุดิบไม่ถูกใจ “แถมยังมีเครื่องปรุงแค่เกลือ พริกไทยอีก ยากกว่าที่ไปแข่งอีก แต่ฉันก็ทำออกมาได้ล่ะนะ”

          “โห มีแค่นั้นเองหรอฮะ? ที่เคนไปแข่งตอนนั้นน่ะ ถึงวัตถุดิบจะมีจำกัดแต่ก็มีให้ใช้กว่านี้เยอะเลย แบบนี้ก็ยากกว่าหรือเปล่า?”

          “ก็ยากกว่าล่ะมั้งนะ… เหมือนเขาจะให้พอทำกินประทังชีวิต แต่ฉันก็จะทำให้ออกมาดีมากกว่านั้น” ชายหนุ่มพูดจบก็สลับหน้าจอส่งรูปถ่ายไปอีกครั้ง

 

          =(ΦFωLINEΦ)= : อยากไปๆๆๆ

          =(ΦFωLINEΦ)= : ไม่มีพระจันทร์แดงหรอฮะ?

          K-9 : 

 

          พอส่งรูปเสร็จเขาก็สลับจอกลับมา

          “ยังดีที่ในกลุ่มมีคนทำอาหารเป็นอยู่ ฉันเลยไม่ต้องพูดอะไรมากนัก” จริงอย่างที่ว่า ไม่เช่นนั้นคงแย่แน่หากต้องทำอะไรด้วยตัวตนเดียวด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเหลือเกิน ชนิดว่าเตาไฟยังต้องก่อเอง

          “เห็นภาพแล้วนะ สมกับเป็นเคนเลย ขนาดมีของอยู่แค่นั้นยังทำได้” ฟีไลน์ยังคงอวยพี่ชายตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ในตอนนี้หากว่าเคไนน์เป็นลูกโป่งเขาก็คงจะลอยไปไกลแล้ว

 

          “ก็นะ” ชายหนุ่มไหวไหล่เบาๆ ราวกับเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าต้องถูกชม และเขาก็ชื่นชมตนเองทุกเมื่อขณะ “ตอนกลางคืนมีเล่นรอบกองไฟกัน อา.. มีเรื่องน่าอายนั่นด้วยสินะ”

          มือแกร่งยกขึ้นกุมขมับอย่างชวนหัว เมื่อนึกถึงตอนนี้มิลเลอร์มาบอกว่าขอโทษที่หาแซลมอนกับทูน่าให้ไม่ได้ ปลายสายก็นิ่งเงียบไปราวกับว่ารอฟังเรื่องราวดังกล่าวอยู่

          “เออ เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่ก็ใช้โอกาสนั้นประกาศเรื่องชมรมไปด้วยล่ะนะ”

 

          “ว้าว งี้ต้องมีคนมาสมัครเยอะแน่ๆ เลยฮะ” ฟีไลน์ก็คงยังไม่รู้ต่อไปว่าเรื่องน่าอายที่พี่ชายเกริ่นนำทิ้งไว้คืออะไร แต่ก็ไม่พยายามตื๊อถาม

 

          “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ” ถึงตอนนี้จะเงียบกริบเลยก็ตาม ไม่รู้ว่าควรจะหวังต่อไปหรือทำใจไม่ต้องคิดหวังอะไรดี

 

          ‘ยังไงโลกนี้มันก็สิ้นหวังอยู่แล้ว’

 

          “ก็แค่นี้แหล่ะ พอวันนี้ก็กลับมานี่ แล้วก็เล่าให้นายฟัง” เคไนน์พรูลมหายใจออกมาแผ่วเบาหลังเล่าทุกอย่างจบ

 

แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่าทั้งชีวิตนี้จะมีโอกาสได้สัมผัสมันอีกครั้งหรือไม่ เขาจึงพยายามซึมซับมันตลอดทุกวินาทีที่คงอยู่ แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้หมด ที่เหลือก็คงต้องพึ่งจินตนาการของผู้ที่ได้ฟัง ว่าเขาจะจินตนาการมันออกมาเป็นเช่นไร...

flag.jpg
food copy.png
tumblr_mrzmqfVpIF1r3y347o1_500.gif

Ending...

bottom of page